ในการประชุมคณะกรรมการสุขภาพคเนสเซตเมื่อวันอังคาร (5 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ตัวแทนกระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลเผยว่า ตัวประกันที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากการถูกจองจำในฉนวนกาซาได้รับยาระงับประสาทจากกลุ่มฮามาสก่อนการปล่อยตัว
การวางยาครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อทำให้ตัวประกันดูสงบและมีความสุข หลังจากถูกทารุณกรรมทางร่างกาย ถูกกีดกัน และเกิดความหวาดกลัวทางจิตใจในฉนวนกาซาเป็นเวลานานกว่า 50 วัน
ดร.ฮาการ์ มิซราฮี หัวหน้าแผนกการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุขตั้งชื่อยาชนิดนี้โดยเฉพาะว่า ‘โคลนาซีแพม’ (Clonazepam) หรือที่รู้จักในชื่อ ‘Clonex’ ในอิสราเอล และจำหน่ายภายใต้ชื่อแบรนด์ ‘Klonopin’ และ ‘Rivotril’ โดยยานี้ใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรควิตกกังวล อาการชัก อาการบ้าคลุ้มคลั่ง (ไบโพลาร์) ความปั่นป่วนที่เกี่ยวข้องกับโรคจิต และโรคย้ำคิดย้ำทำ
ทั้งนี้ ตัวแทนกระทรวงไม่ได้เปิดเผยว่าการใช้ยาดังกล่าวได้รับการยืนยันจากการตรวจเลือดกับตัวประกันที่ถูกปล่อยตัวที่โรงพยาบาลอิสราเอลหรือไม่ โดยครอบครัวของตัวประกันที่พูดคุยกับคณะกรรมการก่อนหน้านี้เป็นกลุ่มแรกที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา
เอ็มเค โยนาธาน มาชริกิ (ชาส) ประธานคณะกรรมการด้านสุขภาพเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขส่งรายงานอย่างเป็นทางการให้กับองค์กรด้านสุขภาพทั่วโลกซึ่งมีรายละเอียดหลักฐานของการวางยาและผลการตรวจทางการแพทย์อื่นๆ
ขณะที่ เชอร์ ซีเกล กล่าวต่อหน้าคณะกรรมการโดยบรรยายถึงประสบการณ์อันน่าสยดสยองของ อาวีว่า ซีเกล แม่ของเธอ ซึ่งถูกจับไปพร้อมกับ คีธ ซีกัล วัย 64 ปีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แต่คีธยังคงเป็นตัวประกัน โดยเชอร์ ซีเกล บอกว่าเธอแทบจะทนไม่ไหวที่ต้องฟังเรื่องราวแม่ของเธอที่ว่าผู้ก่อการร้ายทั้งมัดและทุบตีแม่เธออย่างไร และปฏิเสธที่จะให้อาหารและน้ำอีกด้วย
คำให้การของเธอสะท้อนข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ดูแลตัวประกัน ซึ่งในตอนแรก เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลบอกกับสื่อว่า ‘ตัวประกันที่กลับมามีสุขภาพร่างกายที่ดี’ แต่ในตอนนี้ พวกเขากำลังบอกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องนัก
ขณะที่ ดร. ยาเอล โมเซอร์-กลาสเบิร์ก ผู้อำนวยการฝ่ายบริการปลูกถ่ายตับในเด็กของอิสราเอลที่ศูนย์การแพทย์เด็กชไนเดอร์แห่งอิสราเอลกล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ (4 ธ.ค.) ว่า “รายงานบอกว่าทุกคนที่กลับมาอยู่ในสภาพที่มั่นคงไม่มากก็น้อยนั้น ไม่เป็นความจริง”
สำหรับตัวประกันเด็ก 19 คนและผู้หญิง 7 คนที่ถูกนำตัวมาที่ศูนย์ชไนเดอร์นั้น โมเซอร์-กลาสเบิร์กบอกว่า “ตัวประกันสูญเสียน้ำหนักไป 10-15% ของร่างกายหลังจากขาดอาหารและน้ำ บางคนก็แสดงอาการรับประทานอาหารมูมมามตอนที่กลับมา…ศีรษะและลำตัวของตัวประกันที่ถูกปล่อยตัวเต็มไปด้วยเหาและผื่น ผู้ที่กลับมามีอาการบาดเจ็บซึ่งติดเชื้อเนื่องจากขาดการดูแลที่เหมาะสมและการเข้าถึงสุขอนามัย”
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กระทรวงได้ให้รายละเอียดว่าขณะนี้ความรับผิดชอบในการดูแลตัวประกันที่ปล่อยตัวระลอกแรกกำลังถูกโอนจากโรงพยาบาลไปยังองค์กรดูแลสุขภาพอย่างไร โดยจะต้องให้ความสนใจอย่างมากในการฟื้นฟูนิสัยการกินที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการ เนื่องจากตัวประกันจำนวนมากกลับมาพร้อมกับปัญหาทางเดินอาหารและการขาดวิตามิน
ทว่าการบรรลุเป้าหมายนี้อาจเป็นเรื่องยากสำหรับตัวประกันบางคนที่ไม่มีบ้านให้กลับไปและต้องอาศัยอยู่ในโรงแรมหรือเกสต์เฮาส์
Photo by AFP