สื่อต่างประเทศยังจับตาการเลือกตั้งไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพรรคก้าวไกลสร้างปรากฏการณ์มาแรงแซงทางโค้ง
Reuters รายงานว่า พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย เอาชนะพรรคอนุรักษนิยมที่สนับสนุนกองทัพได้ในการเลือกตั้งประเทศไทย 2023 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยคาดว่า ‘จุดเปลี่ยน’ นี้จะเน้นไปที่ความพยายามในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างรวดเร็วซึ่งนี่คือปฏิกิริยาจากนักวิเคราะห์การเมืองและกลุ่มธุรกิจ ที่สัมภาษณ์โดย Reuters
ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สองพรรคชั้นนำคือพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยนั้นทำสงครามผิด สงครามประชานิยมที่ชนะ ทำให้พรรคก้าวไกลยกระดับเกมไปอีกขั้นด้วยการปฏิรูปสถาบัน นั่นคือสมรภูมิใหม่ของการเมืองไทย
“นี่เป็นผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง มันเป็นประวัติศาสตร์” ฐิตินันท์กล่าว
เคน เมทิส โลหเตปานนท์ จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2001 พรรคเพื่อไทยได้ที่นั่งเป็นจำนวนมากที่สุดในการเลือกตั้งทุกครั้งอย่างสบายๆ หลังจาก 2 ทศวรรษ ความแน่นอนของการเมืองไทยก็พลิกผัน ยุคของพรรคเพื่อไทยที่ครอบงำการเมืองแบบเลือกตั้งสิ้นสุดลงแล้ว
ฐิติพล ภักดีวานิช จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า พรรคก้าวไกล ที่นำโดยพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตั้งแง่ว่าจะร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แต่ก็ยังมีสมการว่า พรรคภูมิใจไทย อาจเข้าร่วมกับพรรคอื่นและพรรคเพื่อไทยด้วยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลอีกรูปแบบหนึ่ง
ซาชารีย์ อบูซา จากวิทยาลัยสงครามแห่งชาติ กล่าวว่า เจตจำนงของประชาชนน่าจะถูกขัดขวางอีกครั้ง ฉันแค่ไม่เห็นว่าวุฒิสภาจะเคารพเจตจำนงของประชาชน พวกเขาถูกสร้างและแต่งตั้งให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือการรักษากลุ่มอนุรักษนิยม-ผู้นิยมกษัตริย์ในการเมืองก็เท่านั้น
“ฉันไม่เห็นหนทางข้างหน้าสำหรับกลุ่มพันธมิตรที่สนับสนุนประชาธิปไตย 376 ที่นั่ง ที่จำเป็นต่อการเอาชนะการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของวุฒิสภา” อบูซากล่าว
ทามารา ลูส จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลกล่าวว่า นี่คือช่วงเวลาแห่งโอกาสที่ดีสำหรับพรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากทหารและนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ที่จะยอมรับอย่างมีเกียรติว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวไทยต้องการเปลี่ยนแปลงสถานะที่เป็นอยู่
ณัฐพร บัวมหากุล ที่ปรึกษากลุ่มเอเชีย กล่าวว่า การเมืองไทยเปลี่ยนไป บ้านการเมือง ราชวงศ์มีความหมายน้อยลงในหลายเขต เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของการเมืองที่ใช้เงินซื้อเสียงในประเทศไทย
ในฝั่งของ New York Times เองก็มีการวิเคราะห์เช่นเดียวกัน
NYT ระบุว่า ในระบบรัฐสภาส่วนใหญ่ พรรคทั้งสองจะจัดตั้งรัฐบาลผสมใหม่และเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ภายใต้กติกาของระบบการเมืองไทยในปัจจุบัน ซึ่งเขียนโดยกองทัพหลังการรัฐประหารปี 2014 รัฐบาลทหารก็ยังคงมีบทบาททางการเมือง
“เราสามารถกำหนดให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการลงประชามติเกี่ยวกับศูนย์อำนาจดั้งเดิมในการเมืองไทย” นพร จาตุศรีพิทักษ์ นักวิจัยจากสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak กล่าวพร้อมเสริมว่า ผู้คนต้องการการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่พวกเขาต้องการการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง
คำถามสำคัญที่คนไทยจำนวนมากมีในตอนนี้คือ การจัดตั้งกองทัพซึ่งเกาะกุมการเมืองไทยมาอย่างยาวนานจะยอมรับผลดังกล่าวหรือไม่
การลงคะแนนเสียงเน้นย้ำว่าขณะนี้ประเทศที่มีประชากร 72 ล้านคนแตกแยกทางการเมืองเพียงใด ไม่มีการแบ่งแยกอีกต่อไประหว่างกลุ่มผู้ประท้วง ‘เสื้อแดง’ ที่สนับสนุนทักษิณจากชนบททางภาคเหนือ กับกลุ่ม ‘เสื้อเหลือง’ ที่ต่อต้านทักษิณซึ่งประกอบด้วยกลุ่มนิยมกษัตริย์และชนชั้นนำในเมือง เพราะในตอนนี้มันแบ่งตามช่วงระหว่างวัยแทน
ขณะที่ AFP ระบุว่า คนไทยลงคะแนนเสียงจำนวนมากหลังการหาเสียงเลือกตั้งที่คนรุ่นใหม่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลง ต่อต้านกลุ่มอนุรักษนิยมที่มีนายกรัฐมนตรีเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้บัญชาการทหารบกที่ยึดอำนาจในการรัฐประหารปี 2014
แต่ในราชอาณาจักรที่การรัฐประหารและคำสั่งศาลมีผลกับหีบบัตรเลือกตั้ง มีความกลัวว่าผลการเลือกตั้งอาจยังถูกขัดขวาง ทำให้เกิดความไม่มั่นคงขึ้นใหม่