‘ไคตั๊ก’ สู่ ‘เช็กล้าปก๊อก’ ย้อนอดีตฮ่องกง ผงาดเป็นฮับการบินแนวหน้าของโลกได้อย่างไร?

3 มี.ค. 2566 - 08:03

  • ย้อนอดีตฮ่องกงกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการบินที่สำคัญที่สุดในโลกได้อย่างไร ในวันที่ฮ่องกงกำลังทวงคืนตำแหน่งฮับการบินอีกครั้งจากแคมเปญแจกตั๋วเครื่องบินฟรี

Hong_kong_HKIA_the_story_of_international_aviation_hub_status_SPACEBAR_Thumbnail_6075e7cc85.jpeg
1 มีนาคมที่ผ่านมาเป็นวันดีเดย์ที่รัฐบาลฮ่องกงคิกออฟแคมเปญที่สร้างกระแสไปทั่วโลก 'World of Winners' จากการที่ฮ่องกงแจกตั๋วเครื่องบินฟรี 500,000 ใบ แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อหวังฟื้นบรรยากาศการท่องเที่ยวฮ่องกงให้กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังเผชิญสถานการณ์ระบาดมากนานกว่า 3 ปี 

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่การท่าอากาศยานฮ่องกง (HKIA) เปิดให้ลงทะเบียนลุ้นตั๋วเครื่องบินฟรี โดยสายการบินคาเธย์ แปซิฟิก มีตั๋วโดยสารมอบให้สูงสุดถึง 17,400 ใบ ส่วนสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์มีตั๋วให้ 2,000 ใบ 

ช่วงการระบาดของโควิดตลอดกว่า 3 ปี ฮ่องกงเป็นหนึ่งในดินแดนที่เข้มงวดในแง่นโยบายการควบคุมโรค จนถึงการเดินทางผ่านข้ามแดน ในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้สถานะของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินและศูนย์กลางการบินระดับแนวหน้าของโลกต้องสั่นคลอน จากความไม่แน่นอนของนโยบายคุมโรคในเวลานั้น  

ช่วงก่อนระบาดฮ่องกงเคยหนึ่งในสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดในโลก สนามบิน HKIA มีปริมาณผู้โดยสารต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 7 ล้านคน แต่พอถึงช่วงระบาด มีผู้โดยสารเดินทางผ่านสนามบินฮ่องกงต่อปีราวแค่ 5 แสนคนเท่านั้น 

เมื่อประมาณปลายปี 2022 ฮ่องกงเริ่มผ่อนปรนข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งรวมถึงการยกเลิกการกักตัวภาคบังคับ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารที่ HKIA ช่วงเดือนมกราคมเพิ่มขึ้น 28 เท่าเป็น 2.1 ล้านคน เมื่อฮ่องกงกลับมาเปิดพรมแดนอีกครั้ง ทั้งยังเปิดแคมเปญสุดปังที่แจกตั๋วเครื่องบิน 5 แสนใบ งานนี้ HKIA ก็หวังจะกลับมาผงาดในฐานะศูนย์กลางการบินระดับโลกอีกครั้ง 

อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงเวลากว่า 90 ทศวรรษ ฮ่องกงนอกจากจะเป็นเมืองท่าสำคัญของอาณานิคมอังกฤษที่ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นไฟแนนเชียลฮับของโลกแล้ว ฮ่องกงจะไม่สามารถขึ้นเป็นศูนย์กลางการเงินของโลกได้ หากปราศจากวิสัยทัศน์โมเดลการยกระดับสนามบินและอุตสาหกรรมการเดินทางทางอากาศ 
Hong_kong_HKIA_the_story_of_international_aviation_hub_status_SPACEBAR_Photo01_b78be5673a.jpeg
แฟ้มภาพสนามบินไคตั๊กช่วงปี 1947 (Photo: GOVERNMENT INFORMATION SERVICES / AFP)

ไปรษณีย์อากาศเขตซ้าถิ่น 

ก่อนเกิดโรคระบาด ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการบินทั่วโลก โดยมีสนามบินที่มีผู้โดยสารพลุกพล่านมากเป็นอันดับ 8 ของโลก ปริมาณการจราจรทางอากาศที่หนาแน่นของฮ่องกงเป็นเพียงภาพสะท้อนของความสำคัญทางเศรษฐกิจของเกาะแห่งนี้ ข้อมูลในหนังสือ Hong Kong Takes Flight ที่เขียนโดย จอห์น ดี. หว่อง รองศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง ซึ่งตีพิมพ์ประวัติศาสตร์การบินเชิงพาณิชย์ของฮ่องกงโดยชี้ว่า การเติบโตของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกนั้นเกี่ยวพันกับการเติบโตในฐานะศูนย์กลางการบินพาณิชย์อย่างแยกกันไม่ออก การเติบโตอย่างใดอย่างหนึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีอีกสิ่งหนึ่ง 

หว่องระบุในหนังสือของเขาว่า ประวัติศาสตร์การบินของฮ่องกงเริ่มขึ้นเมื่อ 18 มีนาคม 1911 เมื่อนักบินชาวเบลเยียมชื่อ Charles-Louis Van Den Born ขึ้นบินจากชายหาดในเขตซ้าถิ่น (Sha Tin) ด้วยเครื่องบินปีกสองชั้น ที่ทำจากไม้ เหล็ก และกาว นั่นถือเป็นเหตุการณ์แรกที่มีเครื่องบินขึ้นลงบนเกาะฮ่องกง  

แต่ช่วงเวลาประวัติศาสตร์อันเป็นหมุดหมายสำคัญของการบินฮ่องกง เกิดขึ้นหลังนักบินเบลเยียมเกือบ 25 ปี เมื่อ 24 มีนาคม 1936 เมื่อสายการบิน Imperial Airways สายการบินพาณิชย์ระยะไกลในยุคแรกๆ ของจักรวรรดิอังกฤษลงจอดในสนามบินไคตั๊ก  (Kai Tak) หลังจากเดินทางจากปีนัง โดยบรรทุกถุงไปรษณีย์ 16 ใบและผู้โดยสารคนเดียว นับเป็นจุดเริ่มต้นของเที่ยวบินพาณิชย์เที่ยวแรกของฮ่องกงที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของฮ่องกงมาจนถึงทุกวันนี้  

ต้นกำเนิดของสนามบินไคตั๊กย้อนกลับไปในปี 1912 เมื่อนักธุรกิจสองคนคือ Ho Kai และ Au Tak ร่วมมือพัฒนาที่ดินและอสังหาฯ ตามแนวชายฝั่งของเขตเกาลูน พวกเขากว้านซื้อที่ดินในย่านนั้นเพื่อหวังพัฒนาที่อยู่อาศัย แต่แผนกลับล้มเหลว รัฐบาลบริติชฮ่องกงได้ซื้อที่ดินดังกล่าวในปี 1924  โดยมีความตั้งใจที่จะสร้างสนามบิน ในที่สุดก็เกิดเป็นสนามบินไคตั๊กที่มีรันเวย์หญ้า สำหรับกองทัพอากาศ ขนส่งไปรษณีย์ และสโมสรการบิน  

ในเวลานั้นสนามบินได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยหอควบคุมและโรงเก็บเครื่องบิน กระทั่งปี 1936 สายการบินอิมพีเรียลแอร์เวย์ของอังกฤษได้ให้บริการเชิงพาณิชย์จากฮ่องกงไปยังลอนดอน 

หว่องเล่าผ่านหนังสือว่า เขาซึ่งเติบโตในช่วงยุค 70 และ 80 ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่เศรษฐกิจฮ่องกงกำลังเติบโต โรงเรียนของเขาอยู่ไม่ไกลจากสนามบินไคตั๊ก ในทุกครั้งที่เครื่องบินบินผ่านหัว ในชั้นเรียนจะหยุดสอนชั่วขณะราว 30 วินาที เพราะเสียงเครื่องบินดังสนั่นจนไม่ได้ยินอะไรในชั้นเรียนเลย  

ด้วยข้อจำกัดทางเทคโนโลยีการบินในยุคแรกทำให้เส้นทางการบินระหว่างฮ่องกงและลอนดอน ตั้งใช้เวลาเดินทางถึง 11 วัน ผ่าน 18 เมืองในเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและยุโรป อาทิ ปีนัง กรุงเทพฯ กัลกัตตา แบกแดด ไคโร และโรม ฮ่องกง
Hong_kong_HKIA_the_story_of_international_aviation_hub_status_SPACEBAR_Photo02_7f15151615.jpeg
เครื่องบินสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ขณะกำลังร่อนลงที่สนามบินไคตั๊ก (Photo: MANUEL CENETA / AFP)
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1936 สายการบิน Pan-American World Airways หรือ Pan Am นับว่ามีส่วนสำคัญในการช่วยขยายเส้นทางการบินนอกเหนือจากเส้นทางฮ่องกงลอนดอน ด้วยความร่วมมือกับสายการบิน Imperial ในการสร้างเครือข่ายเส้นทางการบินไปยังมะนิลา กวม ฮาวาย ไปสิ้นสุดที่ซานฟรานซิสโก ในครั้งนั้นสื่อท้องถิ่นฮ่องกงอย่าง 'Hong Kong Telegraph' ได้พาดหัวข่าวว่าสนามบินไคตั๊กได้กลายเป็นศูนย์กลางการบินแห่งใหม่ของแปซิฟิก (Air hub of the Pacific) ที่เชื่อมการเดินทางจากยุโรปผ่านเอเชียสู่อเมริกา 

ในเวลานั้นบรรดานักลงทุนฮ่องกงก็เริ่มมีแนวคิดสร้างสายการบินท้องถิ่นขึ้นเพื่อแข่งขัน ทว่าเกิดสงครามชิโน-ญี่ปุ่นในปี 1937 ซึ่งจบลงที่ญี่ปุ่นรุกรานฮ่องกงได้สำเร้จ กระทั่งสงครามสิ้นสุดในปี 1946 สนามบินไคตั๊กกลับมาคึกคักอีกครั้งด้วยการเปิดตัวสายการบินท้องถิ่นอย่าง Cathay Pacific และ Hong Kong Airways โดยทั้งสองสายการบินได้ยึดเอาแนวคิด Air hub of the Pacific มาเปิดเส้นทางการบินระหว่างฮ่องกง จีนแผ่นดินใหญ่ จนถึงหลายชาติในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงออสเตรเลีย  

Hong Kong Airways ได้รับสัมปทานเส้นทางบินระหว่างฮ่องกง มาเก๊ากับแผ่นดินใหญ่ ส่วน Cathay Pacific ได้รับสัมปทานสำหรับเส้นทางสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

1 ตุลาคม 1949 หลังกองทัพคอมมิวนิสต์ชนะรัฐบาลสาธารณรัฐจีนในสงครามกลางเมือง และประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน แผ่นดินใหญ่ก็ปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอก Hong Kong Airways ก็ไม่สามารถทำการบินไปยังแผ่นดินใหญ่ได้ ฮ่องกงในเวลานั้นที่เป็นของอังกฤษถือเป็นจุดสิ้นสุดของความทะเยอทะยานที่จะเป็นประตูสู่จีน นั่นทำให้ฮ่องกงหันเหเชื่อมโยงกับโลกตะวันตกและส่วนอื่นของเอเชียมากขึ้น  

หว่องอธิบายว่าด้วยอิทธิพลรอบด้านของอังกฤษที่มีต่อฮ่องกง ทำให้คนฮ่องกงนิยมเดินทางท่องโลกไม่ต่างจากคนตะวันตก ประกอบกับยิ่งมีสายการบินที่ขยายเส้นทางอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งเอเชีย ทำให้สนามบินไคตั๊กเป็นประตูของวัฒนธรรมและการลงทุนจากนานาชาติมาสู่เมือง ทำให้เมืองยกระดับสู่ก้าวแรกของการเป็น Global City
Hong_kong_HKIA_the_story_of_international_aviation_hub_status_SPACEBAR_Photo03_441a79fb66.jpeg
ผู้โดยสารที่สนามบินนานาชาติฮ่องกงในฮ่องกงเมื่อ 23 ธันวาคม 2022 (Photo: ISAAC LAWRENCE / AFP)

ไคตั๊ก สู่ เช็กล้าปก๊อก 

ช่วงปี 1950-60 นับหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของฮ่องกงสู่ฮับการบินของโลก ด้วยการจราจรทางอากาศที่มากขึ้น สนามบินไคตั๊กจึงเปิดอาคารผู้โดยสารใหม่ที่มีขนาดใหญ่และก้าวหน้าที่สุดของโลกในเวลานั้น แถมยังขยายรันเวย์ที่สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ของยุคนั้นอย่างโบอิ้ง 747 ได้ด้วย นั่นทำให้ฮ่องกงถือว่าเป็นฮับของการบินระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ  

หว่องกล่าวว่า การยกระดับสนามบินมันไม่เพียงแค่พัฒนาเป็นเศรษฐกิจภาคบริการเท่านั้น แต่ยังเป็นการหล่อหลอมชาวฮ่องกงต่อคนต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกด้วย  ซึ่งสะท้อนอย่างชัดเจนว่าฮ่องกงกลายเป็น Global City ในเวลานั้นเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดของสนามบินไคตั๊ก ที่นักบินต้องมีความเชี่ยวชาญสูงในการนำเครื่องบินขึ้นลง เนื่องจากต้องผ่านย่านใจกลางเขตเมือง รัฐบาลฮ่องกงตระหนักถึงศักยภาพของการบินในฐานะตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ สนามบินขนาดเล็กเพียงแห่งเดียวบนคาบสมุทรเกาลูน ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มขึ้น ในปี 1980 รัฐบาลตัดสินใจสร้างสนามบินใหม่บนเกาะเทียม ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่ามากและมีอุปกรณ์ที่ดีกว่าเพื่อรองรับการหลั่งไหลเข้าของผู้โดยสาร 

การก่อสร้างสนามบินแห่งใหม่ ซึ่งในที่สุดจะใช้ชื่อว่าสนามบินนานาชาติฮ่องกง (HKIA) หรือที่เรียกว่าสนามบินเช็กล้าปก๊อก ซึ่งเป็นงานหินที่ท้าทายในเชิงวิศวกรรมอย่างมากจากการสร้างสนามบินบนเกาะเทียมทั้งหมด ในที่สุดโครงการนี้ก็แล้วเสร็จปี 1998 และได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการบินที่สำคัญที่สุดในโลกอย่างรวดเร็ว 

นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยแล้ว สนามบิน HKIA ยังดำเนินนโยบายหลายอย่างที่ช่วยให้ฮ่องกงกลายเป็นศูนย์กลางการบินชั้นนำในเอเชีย เช่น ข้อเสนอจูงใจแก่สายการบินที่ใช้สนามบินเป็นศูนย์กลาง อาทิ ส่วนลดค่าธรรมเนียมการลงจอด และการสนับสนุนด้านการตลาด สิ่งนี้ได้ดึงดูดสายการบินจำนวนมากจากทั่วโลกมาตั้งศูนย์กลางภูมิภาค (Regional Hub) ยังฮ่องกง  

อีกสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นคือ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของฮ่องกง ซึ่งอยู่บนทางแยกของเส้นทางบินหลักระหว่างเอเชียและยุโรป รวมทั้งระหว่างอเมริกาเหนือและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก  ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับสายการบินที่ต้องการขยายการเข้าถึงและเชื่อมต่อผู้โดยสารจากส่วนต่างๆ ของโลก 

ตลอดห้วงนับทศวรรษของการเปลี่ยนแปลงฮ่องกงให้เป็นศูนย์กลางการบินในเอเชีย ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงศักยภาพหลายประการของเมือง อาทิ ที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ และเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง  

หลังจากสามปีอันนิ่งของการระบาดใหญ่ วันนี้ฮ่องกงพร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำสำหรับธุรกิจและนักเดินทางจากทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์