อะแลสกาพ็อกซ์! เหล่าทาสระวังไว้ ‘แมว’ เป็นพาหะนำโรคร้ายถึงตายได้

15 ก.พ. 2567 - 10:00

  • แม้ว่าแมวจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่สมบูรณ์แบบและเต็มไปด้วยความน่ารัก แต่แพทย์ก็เตือนว่าอาจทำให้เราเสี่ยงจะเป็นโรคที่อาจถึงแก่ชีวิตได้..

how-your-cat-major-harborer-deadly-diseases-SPACEBAR-Hero.jpg

แม้ว่าแมวจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่สมบูรณ์แบบและเต็มไปด้วยความน่ารัก แต่แพทย์ก็เตือนว่าอาจทำให้เราเสี่ยงจะเป็นโรคที่อาจถึงแก่ชีวิตได้... 

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเปิดเผยว่ามีผู้เสียชีวิตรายแรกจากโรค ‘อะแลสกาพ็อกซ์’ (Alaskapox) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียคล้ายกับไข้ทรพิษ และอีกคสหนึ่งเป็นชาวโอเรกอนที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยโรคกาฬโรคต่อมน้ำเหลือง (Bubonic plague) ซึ่งเป็นโรคเก่าแก่ที่เคยคร่าชีวิตประชากร 1 ใน 3 ของยุโรปในปี 1300 ซึ่งทั้งสองเคสนี้ผู้ป่วยติดโรคมาจาก ‘แมว’ 

เปาลา คูวาส ที่ปรึกษาด้านสัตว์แพทย์ของ Catser บอกกับ DailyMail ว่า แมวเป็นพาหะของโรค เนื่องจากพวกมันมักเป็นสัตว์ในบ้านและใกล้ชิดกับมนุษย์ แถมยังเดินนออกไปข้างนอกและล่าสัตว์ฟันแทะและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก จากนั้นพวกมันก็จะนำโรคต่างๆ กลับบ้านไปหามนุษย์ที่บ้าน 

เนื่องจากแมวไม่แสดงอาการ จึงไม่ได้สร้างความกังวลให้กับเจ้าของและคงไม่ได้ไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการรักษา กระทั่งเกิดเป็นการติดเชื้อจากการสัมผัสซ้ำๆ นอกจากนี้ โรคบางชนิดยังสามารถติดต่อผ่านทางอุจจาระของแมว ซึ่งมนุษย์อาจสัมผัสบ่อยครั้งขณะตักอุจจาระ หรือเปลี่ยนกระบะทรายแมว ขณะที่สุนัขเองก็เป็นพาหะของโรคได้แต่น้อยกว่าแมว เนื่องจากสุนัขมีความทนทานต่อแบคทีเรียมากกว่า 

โรคจาก ‘แมว’ ที่อาจทำให้เราถึงแก่ชีวิตได้มีทั้งหมด 6 โรคด้วยกัน 

‘ความตายสีดำ’ - กาฬโรค 

แมวมีความเสี่ยงสูงที่จะสัมผัสกับเชื้อกาฬโรค และอาจส่งต่อไปยังเจ้าของได้ เนื่องจากร่างกายของพวกมันไม่สามารถกำจัดการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีแนวโน้มมากกว่าสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ที่จะไล่ล่าและจับสัตว์ฟันแทะซึ่งเป็นตัวนำโรคได้ 

ในกรณีผู้ป่วยของรัฐโอเรกอน นพ.ริชาร์ด ฟอว์เซ็ตต์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของเดชูตส์ ซึ่งเป็นที่ที่ผู้ป่วยอาศัยอยู่ กล่าวว่า แมวของเขาป่วยหนักและแสดงอาการ โดยมันมีฝีไหลออกมา และการติดเชื้อของเจ้าของน่าจะเริ่มต้นที่ต่อมน้ำเหลืองแต่ก็ลุกลามอย่างรวดเร็วจนติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งปัจจุบันผู้ป่วยได้รับยาปฏิชีวนะและตอบสนองต่อการรักษาได้ดี 

โรคดังกล่าวเกิดจากแบคทีเรีย Yersinia pestis ซึ่งสามารถแพร่เชื้อจาก ‘หมัด’ ที่ติดเชื้อกัดสัตว์หรือมนุษย์ นอกจากนี้ยังสามารถติดเชื้อได้โดยการสูดละอองติดเชื้อที่แมวป่วยไอออกไปในอากาศ ซึ่งอาการในแมว ได้แก่ มีไข้ เบื่ออาหาร ไม่มีแรง และต่อมน้ำเหลืองบวม แมวสามารถเป็นโรคปอดบวมและอาจไอหรือหายใจลำบากได้ และสัตว์สามารถรักษาโรคระบาดได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะจากสัตวแพทย์ 

อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 30% – 60% แต่การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมีประสิทธิภาพ และควรเริ่มการรักษาโดยเร็วที่สุด 

โรคทางระบบประสาทที่ทำให้เสียชีวิตได้ 100% ‘โรคพิษสุนัขบ้า’ 

โรคทางระบบประสาทนี้แพร่กระจายโดยการถูกสัตว์ที่ติดเชื้อกัด และเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เกือบ 100% เมื่อเทียบจากโรคทั้งหมด โรคพิษสุนัขบ้าแพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับน้ำลายของแมวที่ติดเชื้อ 

สัญญาณของโรคพิษสุนัขบ้าในแมว ได้แก่ พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงกะทันหัน หอบหืด กระสับกระส่าย และทำร้ายสัตว์ ผู้คน และสิ่งของต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วสัตว์ที่ติดเชื้อนี้จะตายหลังจากเริ่มแสดงอาการ 

ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคในปี 2020 ประมาณการว่ามีรายงานแมวที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าในสหรัฐฯ 250 ตัวต่อปี เทียบกับสุนัข 60 - 70 ตัว ขณะที่ในมนุษย์ อาการของโรคพิษสุนัขบ้า ได้แก่ มีไข้ อ่อนแรง รู้สึกคัน กลัวน้ำ ภาพหลอน เป็นอัมพาตฉับพลัน และกระสับกระส่าย 

การเสียชีวิตจากไวรัสคล้ายไข้ทรพิษ ‘อะแลสกาพ็อกซ์’ 

อะแลสกาพ็อกซ์ (Alaskapox) เป็นที่รู้จักในชื่อ AKPV เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับไข้ทรพิษและโรคฝีดาษลิง และถูกค้นพบครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ในอะแลสกาในปี 2015 โดยทั่วไปแล้วจะถูกนำเข้ามาโดยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก  

มีรายงานผู้ป่วยไวรัสเพียง 7 รายตั้งแต่ปี 2015 และเมื่อต้นเดือนนี้ ชายสูงอายุที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องในอะแลสกาเสียชีวิตจากภาวะไตวายหลังจากติดเชื้อ AKPV เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของอะแลสการายงานว่า ชายคนดังกล่าวกำลังดูแลแมวจรจัดตัวหนึ่งใกล้บ้านของเขา ซึ่งมักล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก และข่วนผู้ป่วย โดยมีรอยขีดข่วนที่เห็นได้ชัดเจนจุดหนึ่งบริเวณรักแร้ของเขา ต่อมาเกิดเป็นตุ่มเล็กๆ ใกล้บริเวณนั้น ด้านเจ้าหน้าที่ตั้งข้อสังเกตว่าแมวจรจัดเป็น ‘แหล่งโรคที่เป็นไปได้’ ของการติดเชื้อ 

อาการของโรคอะแลสกาพ็อกซ์ ได้แก่ รอยโรคที่ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองบวม ปวดข้อและกล้ามเนื้อ ทว่าผู้ป่วยเกือบทั้งหมดที่ได้รับการบันทึกว่าติดไวรัส มีอาการป่วยเล็กน้อยและหายได้เองหลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์ 

ความพิการแต่กำเนิดจากอุจจาระแมว ‘Toxoplasmosis’ 

Toxoplasmosis เกิดจาก Toxoplasma gondii ซึ่งเป็นปรสิตที่พบในดิน น้ำ หรืออุจจาระของแมวที่ติดเชื้อ แมวมักติดโรคดังกล่าวโดยการกินสัตว์ฟันแทะและนกที่ติดเชื้อ โรคนี้สามารถแพร่สู่มนุษย์ได้โดยการสัมผัสกับอุจจาระแมวที่ปนเปื้อน ซึ่งอาจสัมผัสได้ขณะเปลี่ยนกระบะทรายของแมว 

ใครๆ ก็สามารถติดเชื้อปรสิตได้ แต่สตรีมีครรภ์มีความเสี่ยงเป็นพิเศษและมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพ และ Toxoplasmosis อาจทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิดในทารกในครรภ์ แมวที่เป็นโรคนี้ไม่ค่อยแสดงอาการและสามารถหลั่งปรสิตในอุจจาระได้นานถึง 3 สัปดาห์หลังการติดเชื้อครั้งแรก 

เชื้อราร้ายแรง ‘Sporotrichosis’ 

Sporotrichosis เกิดจากเชื้อราในสิ่งแวดล้อม และมักแพร่กระจายผ่านบาดแผลหรือรอยถลอกในผิวหนัง หรือจากแมวสู่มนุษย์โดยรอยขีดข่วนหรือรอยกัด แมวที่ติดเชื้อมักไม่แสดงอาการ แต่สัญญาณอาจเริ่มต้นจากบาดแผลเล็กๆ จนกลายเป็นก้อนนูนขึ้น 

ในมนุษย์ Sporotrichosis สามารถพัฒนาได้ 3 รูปแบบ 

รูปแบบผิวหนังเริ่มต้นด้วยตุ่มที่ไม่เจ็บปวดซึ่งจะพัฒนาเป็นแผลเปิดหรือแผลในกระเพาะอาหาร 

รูปแบบที่แพร่ระบาดของโรคดังกล่าวจะติดเชื้อในอวัยวะภายในและกระดูก 

รูปแบบปอดทำให้เกิดอาการไอ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก และมีไข้ 

 ซึ่งการติดเชื้อสองรูปแบบหลังอาจร้ายแรงมากและบางครั้งก็ถึงแก่ชีวิตได้ 

ท้องร่วงรุนแรง ‘C. Difficile’ 

C. diff เป็นเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียและอักเสบของลำไส้ อาการต่างๆ ได้แก่ มีไข้ ท้องร่วง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ และปวดท้อง มีการติดเชื้อ C. diff 500,000 รายในสหรัฐฯ ในแต่ละปี และคร่าชีวิตผู้คนได้ 15,000 - 30,000 รายต่อปี แม้ว่าจะมีทฤษฎีที่ว่าสัตว์สามารถแพร่เชื้อสู่มนุษย์ได้ แต่ก็ยังไม่ได้รับการพิสูจน์

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์