นักวิเคราะห์ชาวจีนเผย กัมพูชาอาจใช้อาวุธที่ผลิตในจีนเพื่อโจมตีประเทศไทย แต่เมืองหลวงของไทยไม่อยู่ในระยะที่อาวุธดังกล่าวจะยิงถึง และปักกิ่งก็ไม่น่าจะนิ่งเฉยหากความตึงเครียดที่ชายแดนปะทุขึ้นเป็นความขัดแย้งทางทหาร
ซ่งจงผิง อดีตอาจารย์กองทัพปลดปล่อยประชาชาจีนเผยกับ South China Morning Post ว่า “การส่งออกอาวุธของจีนเป็นไปเพื่อใช้ในการป้องกันตัวเอง และหลังการซื้อขาย สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของและการใช้เป็นของประเทศผู้ซื้อโดยสมบูรณ์ จีนไม่ต้องการเห็นมิตรเก่าแก่ 2 ประเทศของตัวเองทำสงครามกัน แม้จะเป็นข้อพิพาทเรื่องดินแดนก็ตาม” และกล่าวเสริมว่า จีนจะพยายามอำนวยความสะดวกในการเจรจาและการหยุดยิง
ซ่งจงผิงเผยอีกว่า “ไทยเป็นทั้งมิตรเก่าแก่ของจีนและพันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯ ขณะที่กัมพูชามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน”
การประเมินนี้เกิดขึ้นหลังจากสำนักข่าว The Nation ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ รายงานเมื่อวันศุกร์โดยอ้างคำพูดของ ฮุน เซน ที่ว่า กัมพูชามีอาวุธที่ “ยิงไกลถึงกรุงเทพฯ”
จีนเป็นแหล่งอาวุธหลักของทั้งสองประเทศ
แต่ซ่งเผยว่า เป็นไปไม่ได้ที่กัมพูชาจะใช้ระบบจรวดที่ผลิตในจีนยิงไปถึงเมืองหลวงของไทย
“กัมพูชายังขาดเครื่องบินรบที่สามารถบรรทุกขีปนาวุธพิสัยไกล” ซ่งกล่าว และเสริมว่า งบประมาณด้านกลาโหมของกัมพูชามีสัดส่วนเพียง 1 ใน 10 ของงบประมาณกลาโหมของไทย “ศักยภาพทางการทหารของไทยแข็งแกร่งกว่ากัมพูชามาก”
จากข้อมูลของ Stockholm International Peace Research Institute พบว่า จีนแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นเป็นผู้จัดหาอาวุธให้ไทยมากที่สุด โดยมีสัดส่วนราว 44% ของอาวุธที่ไทยนำเข้าทั้งหมด ขณะที่กัมพูชาแทบจะต้องพึ่งพาอาวุธจากจีนทั้งหมด โดย Phnom Penh Post รายงานว่า อาวุธจากจีนอาจมีถึง 95% ของอาวุธทั้งหมดของกัมพูชา
ซ่งเผยว่า จีนไม่ได้กำหนดเงื่อนไขในการใช้งานอาวุธซึ่งต่างจากสหรัฐฯ
“นี่แตกต่างจากสหรัฐฯ ที่มักจะควบคุมการใช้อาวุธของตัวเอง” ซ่งกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีการคาดเดาที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่า สหรัฐฯ จำกัดการใช้อากาศยานทางทหารที่ผลิตโดยสหรัฐฯ ของอินเดียในความขัดแย้งกับปากีสถานในกรณีแคว้นกัศมีร์เมื่อเร็วๆ นี้
เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา มีรายงานว่ากองทัพปากีสถานใช้เครื่องบิน J-10CE ขีปนาวุธ และระบบอาวุธที่ผลิตโดยจีนสอยเครื่องบินรบราฟาลที่ผลิตโดยฝรั่งเศสของอินเดียร่วงหลายลำ
ซ่งกล่าวว่า มีข้อแตกต่างใหญ่ๆ หลายประการระหว่างข้อพิพาทไทย-กัมพูชา และสงครามอินเดีย-ปากีสถาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับความแตกต่างทางศาสนาที่หยั่งรากลึก
“ไทยกับกัมพูชา ซึ่งศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลัก ไม่ได้แบ่งแยกศาสนารุนแรงเหมือนอินเดียกับปากีสถาน” ซ่งเผย และว่า ข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาสืบเนื่องมาจากการปกครองอาณานิคมของฝรั่งเศส
อย่างไรก็ดี ซ่งย้ำว่า จีนยังคงแนะนำให้ “มิตรทั้งสองประเทศอดทนอดกลั้นและแก้ปัญหาข้อพิพาทผ่านการเจรจา” และจีนน่าจะไม่นิ่งเฉยหากความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชายกระดับเป็นความขัดแย้งทางทหาร
ซ่งแนะนำว่า สถาบันไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศในฮ่องกง “อาจมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการช่วยให้ทั้งสองฝ่ายหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าด้วยอาวุธ” และว่า จุดยืนของจีนสอดคล้องกับผลประโยชน์โดยรวมของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เพราะความขัดแย้งใดๆ ภายในกลุ่มจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาค “นอกเหนือจากจีนแล้ว อาเซียนเองยังอาจมีส่วนร่วมในความพยายามไกล่เกลี่ยด้วย”
พื้นที่หลายแห่งระหว่างไทยและกัมพูชา รวมถึงสามเหลี่ยมมรกต ไม่ได้มีการทำแผนที่อย่างเพียงพอเมื่อมีการลงนามสนธิสัญญาเมื่อกว่าศตวรรษก่อน ส่งผลให้มีการอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน
ก่อนหน้านี้ กัมพูชาพยายามหาทางแก้ไขทางกฎหมายระหว่างประเทศสำหรับข้อพิพาทเรื่องพรมแดน
ในปี 1962 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้ตัดสินให้กัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหาร และในปี 2013 ได้ยืนยันคำตัดสินดังกล่าวอีกครั้งโดยสั่งให้จัดตั้งเขตปลอดทหารและถอนทหารของทั้งสองฝ่าย
ประเทศไทยยังคงปฏิเสธเขตอำนาจศาลของ ICJ ในข้อพิพาทเหล่านี้ โดยยืนกรานให้มีการเจรจาทวิภาคีผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) แทน ทว่า JBC ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2000 ไม่ได้มีความคืบหน้ามากนักในการแก้ไขความตึงเครียด
Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP