แม้จะถูกตั้งข้อหาหรือถูกตัดสินว่ามีความผิดก็เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้

31 มี.ค. 2566 - 09:12

  • อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกคณะลูกขุนใหญ่ตั้งข้อหา ซึ่งคาดว่าเกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินปิดปากนักแสดงหนังโป๊

  • ตามกฎหมายสหรัฐฯ แม้จะถูกตั้งข้อหา หรือถูกตัดสินว่ามีความผิดก็ยังลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือเป็นประธานาธิบดีได้

indicted-trump-can-still-run-for-president-SPACEBAR-Hero
คณะลูกขุนใหญ่ของแมนฮัตตันลงมติตั้งข้อหาอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยข้อหาที่ว่า แต่คาดว่าเกี่ยวข้องกับการสอบสวนทรัมป์กรณีจ่ายเงินปิดปากนักแสดงหนังวาบหวิวก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี 2016 ของอัยการเขตแมนฮัตตัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกตั้งข้อหา 

แต่ในขณะเกียวกันทรัมป์ก็ยังเดินหน้าหาเสียงเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2024 หลังจากแพ้ให้ โจ ไบเดนในปี 2020  

การถูกตั้งข้อหานี้จะกระทบกับการหาเสียงเลือกตั้งหรือการนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีของทรัมป์อย่างไรบ้าง 

มาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐกำหนดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีไว้อย่างชัดเจนเพียง 3 ข้อคือ 1.อายุ 35 ปีขึ้นไป 2.มีสัญชาติอเมริกันโดยการเกิด 3.มีถิ่นพำนักอยู่ในสหรัฐติดต่อกันอย่างน้อย 14 ปี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อจำกัดอื่นอีก มาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 ห้ามผู้ที่เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏหรือก่อจลาจลต่อสหรัฐฯ นั่งตำแหน่งใดๆ ของรัฐบาลกลาง 

ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกันสำหรับสมาชิกสภาคองเกรส ศาลฎีกาตัดสินไว้ว่า คุณสมบัติดังกล่าวเป็น "เพดานตามรัฐธรรมนูญ" ห้ามมิให้กำหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมใดๆ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม 

ดังนั้นเมื่อรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าประธานาธิบดีต้องไม่ถูกตั้งข้อหา ไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด หรือไม่ถูกจำคุก ผู้ที่ถูกตั้งข้อหาหรือถูกจำคุกก็สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือแม้แต่เป็นประธานาธิบดีได้ ซึ่งจะเป็นบรรทัดฐานในคดีของทรัมป์เช่นกัน 

แต่ถึงอย่างนั้น การถูกตั้งข้อหา หรือถูกตัดสินว่ามีความผิด หรือทั้งสองอย่าง ย่อมจะทำให้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานาธิบดีได้ไม่เต็มที่อย่างไม่ต้องสงสัย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงกรณีถูกศาลสั่งจำคุก  

บริหารจากในเรือนจำ 

ภาพของการพิจารณาคดีอาญาในศาลในระดับมลรัฐหรือศาลของรัฐบาลกลาง จะมีผลอย่างมากต่อการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและต่อความน่าเชื่อถือของประธานาธิบดี หากได้รับเลือก แม้ว่าจะให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำผิด แต่การถูกตัดสินว่ามีความผิดหรือการถูกจำคุกจะทำให้จำเลยถูกจำกัดเสรีภาพที่อาจลดทอนความสามารถในการเป็นผู้นำของประธานาธิบดีลงอย่างมาก 

บันทึกของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เมื่อปี 2000 เคยพูดถึงกรณีการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีขณะถูกฟ้องร้องหรือหลังถูกตัดสินว่ามีความผิดไว้ โดยเป็นการสะท้อนบันทึกของสำนักงานที่ปรึกษาทางกฎหมายปี 1973 ระหว่างที่เกิดคดี ‘วอเตอร์เกต’ (อ่านเรื่องราวคดีทางการเมืองสุดอื้อฉาว ‘วอเตอร์เกต’ ได้ที่นี่) ที่ใช้ชื่อว่า ‘ความรับผิดชอบของประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และเจ้าหน้าที่พลเรือนอื่นต่อการดำเนินคดีอาญาของรัฐบาลกลางในระหว่างดำรงตำแหน่ง’ 

แบ็คกราวน์ของบันทึกปี 1973 คือ ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ถูกสอบสวนกรณีพัวพันกับคดีวอเตอร์เกต และรองประธานาธิบดี สปิโร แอกนิว ที่ถูกคณะลูกขุนใหญ่สอบสวนกรณีเลี่ยงภาษี 

บันทึกทั้งสองนี้พูดถึงว่าประธานาธิบดีอาจถูกฟ้องร้องในขณะที่ดำรงตำแหน่งได้หรือไม่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และสรุปไว้ว่า ‘ไม่ได้’  

แล้วกรณีที่ประธานาธิบดีถูกตั้งข้อหา ถูกตัดสินว่ามีความผิด หรือทั้งสองอย่างก่อนดำรงตำแหน่งอย่างในกรณีของทรัมป์จะเป็นอย่างไรล่ะ 

บันทึกเมื่อปี 1973 และ 2000 ให้ความเห็นไว้ว่า การดำเนินคดีอาญากับประธานาธิบดีระหว่างดำรงตำแหน่งจะส่งผลให้เกิด "การแทรกแซงทางกายภาพกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีซึ่งจะทำให้สูญเสียความสามารถ" ซึ่งหมายถึง ความยุ่งยากของการดำเนินคดีอาญาที่จะแย่งเวลาการปฏิบัติหน้าที่อันหนักอึ้งของประธานาธิบดี 

กระทบการปฏิบัติหน้าที่หลัก 

บันทึกปี 1973 ระบุว่า “ประธานาธิบดีมีบทบาทแต่เพียงผู้เดียวในการบังคับใช้กฎหมาย การดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศ และการป้องกันประเทศ” และหน้าที่เหล่านี้จำเป็นต้องมีการประชุม การสื่อสาร หรือการปรึกษาหารือกับกองทัพ ผู้นำต่างประเทศ เจ้าหน้าที่รัฐบาล ทั้งในสหรัฐฯและในต่างประเทศ ในรูปแบบที่ไม่สามารถทำได้ขณะอยู่ในเรือนจำ 

อเล็กซานเดอร์ บิคเคล นักวิชาการด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญเผยไว้เมื่อปี 1973 ว่า “เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจากคุกได้” 

นอกจากนี้ ประธานาธิบดียุคใหม่ยังต้องเดินทางไปมาเพื่อพบปะกับผู้นำประเทศอื่นๆ ซึ่งไม่สามารถทำได้จากในเรือนจำเช่นกัน รวมทั้งยังไม่สามารถลงพื้นที่หลังเกิดเหตุภัยทางธรรมชาติ เฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญของชาติ หรือแถลงข่าวแบบตัวเป็นๆ  

ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ประธานาธิบดีจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับหรือการฟังบรรยายสรุป (briefing) แต่การถูกจำคุกจะจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งจะต้องเก็บไว้และนำออกมาดูในห้องที่ปลอดภัยที่ป้องกันไม่ให้ถูกล้วงความลับในทุกรูปแบบ รวมทั้งการสกัดคลื่นวิทยุ ซึ่งในเรือนจำไม่มีแน่นอน 

ด้วยภาระหน้าที่ที่หลากหลายของประธานาธิบดี บันทึกจึงสรุปว่า การจำคุกประธานาธิบดีหลังถูกตัดสินว่ามีความผิดจะทำให้ฝ่ายบริหารไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามรัฐธรรมนูญ 

หาเสียงเลือกตั้งจากในเรือนจำ 

แล้วถ้าประชาชนเลือกประธานาธิบดีที่ถูกตั้งข้อหาหรือถูกจำคุกล่ะ 

ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ปี 1920 ยูจีน เด็บส์ ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างที่เขารับโทษจำคุกจากคดีพูดต่อต้านร่างกฎหมายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเขาถูกตัดสินว่าฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการยุยงปลุกปั่น 1918 ถึงอย่างนั้นเขาได้รับคะแนนโหวตจากชาวอเมริกันเกือบ 1 ล้านเสียง จากผู้ลงคะแนนทั้งหมด 26.2 ล้านคน  

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์