ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด กล่าวว่า อินโดนีเซียได้เปิดตัวโรงงานผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกเมื่อวันพุธ (3 ก.ค.) แล้ว
อินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีฐานเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีแหล่งแร่นิกเกิลสำรองรายใหญ่ที่สุดในโลก กำลังพยายามสร้างฐานที่มั่นให้กับตัวเองในฐานะผู้เล่นสำคัญในห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก
โรงงานแห่งนี้เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างผู้ผลิตสัญชาติเกาหลีใต้ ‘ฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ป’ (Hyundai Motor Group) และ ‘แอลจี เอนเนอจี โซลูชัน’ (LG Energy Solution / LGES) ซึ่งสามารถผลิตเซลล์แบตเตอรี่ได้มากถึง 10 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ทุกปี
“โรงงานที่ตั้งอยู่ในเมืองกาลาวงศ์ทางตะวันตกของชวาเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็น ‘บทใหม่’ ที่เน้นย้ำถึงความทะเยอทะยานของประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรที่จะเป็นผู้เล่นระดับโลกในห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้า” วิโดโดกล่าวระหว่างงานเปิดตัว
วิโดโดเสริมอีกว่า “เรามีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ แต่ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เราส่งออกมันไปเพียงในรูปของวัตถุดิบเท่านั้นโดยไม่ได้เพิ่มมูลค่า”
“แต่ในปัจจุบัน เมื่อโรงหลอมถูกสร้างขึ้น และมีการสร้างเซลล์แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เราก็จะกลายเป็นผู้เล่นระดับโลกที่สำคัญในห่วงโซ่อุปทานรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก”
โรงงานแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ามูลค่า 9.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.6 แสนล้านบาท) ที่ลงนามระหว่างอินโดนีเซียและบริษัท LG ในปี 2020
บริษัทจะผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของฮุนได โดยคาดว่ารถ ‘SUV Kona Electric’ จำนวน 50,000 คันจะใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในอินโดนีเซีย บริษัทร่วมทุน ‘พีที เอชแอลไอ กรีน พาวเวอร์’ (PT HLI Green Power) คาดว่าจะใช้เงิน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.3 หมื่นล้านบาท) เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานเป็น 20 กิกะวัตต์ชั่วโมง
ชุง อุยซัน ประธานบริหารกลุ่มบริษัทฮุนได มอเตอร์ กล่าวว่า
“อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของอินโดนีเซียจะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ประเทศนี้เป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รถยนต์ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศนี้ถือเป็นมาตรฐานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีฐานลูกค้าเป้าหมาย 700 ล้านคน...ทรัพยากรแร่ในประเทศนี้ เช่น เหล็กและนิกเกิล เป็นส่วนประกอบสำคัญของแบตเตอรี่ที่จะนำไปใช้ขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้าหลายล้านคันในอินโดนีเซีย”
Photo by Handout / INDONESIAN PRESIDENTIAL PALACE / AFP