เศรษฐกิจจีน คือ ระเบิดเวลาอย่างที่ผู้นำสหรัฐฯ ว่าไว้จริงหรือ?

1 ก.ย. 2566 - 09:15

  • ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ พูดไว้ว่า เศรษกิจจีนเหมือนกับ ‘ระเบิดเวลาที่กำลังเดินถอยหลัง’

  • ปัญหาหลักของเศรษฐกิจจีนคือ ตลาดอสังหาฯ ที่มีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของจีดีพีประเทศ

is-china-economy-a-ticking-time-bomb-SPACEBAR-Thumbnail
ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนเจอพายุโหมกระหน่ำหลายลูก ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตที่ช้าลง อัตราว่างงานของคนรุ่นใหม่ นักลงทุนต่างประเทศหาย ตัวเลขส่งออกและค่าเงินอ่อนลง และวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ 

เมื่อเร็วๆ นี้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ พูดไว้ว่า เศรษฐกิจจีนเหมือนกับ “ระเบิดเวลาที่กำลังเดินถอยหลัง” ส่วนประธานาธิบดี สีจิ้นผิง โต้กลับว่า เศรษฐกิจจีนยังแข็งแกร่ง มีศักยภาพ และคึกคัก 

แล้วใครพูดถูกกันแน่ คำตอบคืออาจไม่มีใครผิดใครถูก 

แม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะยังไม่ระเบิดในเร็วๆ นี้ แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงและฝังรากลึก 

วิกฤตอสังหาฯ และครัวเรือนจนลง 

ปัญหาหลักของเศรษฐกิจจีนคือ ตลาดอสังหาฯ ที่มีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของจีดีพีประเทศ ตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมาภาคอสังหาฯ ของจีนเฟื่องฟูมากโดยได้อานิสงส์มาจากการเปลี่ยนมือธุรกิจไปสู่ภาคเอกชน แต่ก็ต้องสะดุดครั้งใหญ่เพราะวิกฤตในปี 2020 ทั้งจากการระบาดของโควิด-19 และการลดลงของประชากร ที่สวนทางกับการโหมทำโครงการที่พักอาศัยทั่วประเทศ 

รัฐบาลจีนกลัวจะซ้ำรอยวิกฤตเมื่อปี 2008 ของสหรัฐฯ จึงจำกัดการกู้เงินของบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ทำให้บริษัทเหล่านี้หมุนเงินมาชำระหนี้ไม่ทัน จนหลายแห่งโดยเฉพาะเจ้าใหญ่ๆ อย่าง Evergrande ผิดนัดชำระหนี้ บวกกับขณะนี้ความต้องการที่อยู่อาศัยลดลง ราคาบ้านก็ตกลง ทำให้คนจีนที่ซื้อบ้านเหล่านี้ไว้จนลงตามไปด้วย 

อลิเซีย การ์เซีย-เฮอร์เรโร นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัทบริหารความมั่งคั่ง Natixis เผยกับ BBC ว่า “ในจีนอสังหาริมทรัพย์คือเงินออม จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ มันดูดีกว่าการนำเงินของคุณไปลงทุนในตลาดหุ้นที่บ้าคลั่งหรือบัญชีธนาคารที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ” 

การ์เซีย-เฮอร์เรโรเผยว่า “ก่อนหน้านี้มีแนวคิดว่าคนจีนจะพากันจับจ่ายใช้สอยเงินอย่างบ้าคลั่งหลังปลดล็อกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ พวกเขาจะเดินทางท่องเที่ยว ไปปารีส ซื้อหอไอเฟล แต่ความจริงพวกเขารู้ว่าเงินก็บของตัวเองน่อยลงเพราะราคาบ้านตก ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเก็บเงินสดที่มีไว้กับตัว” 

ไม่เพียงแค่ทำให้คนจีนรู้สึกว่าตัวองจนลงเท่านั้น สถานการณ์แบบนี้ยังทำให้รัฐบาลท้องถิ่นเผชิญกับหนี้หนักขึ้นไปอีก มีการคาดการณ์ว่ากว่า 1 ใน 3 ของรายได้ท้องถิ่นหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐมาจากการขายที่ดินให้บริษัทพัฒนาสังหาฯ ซึ่งตอนนี้อยู่ในวิกฤตครั้งใหญ่ นักเศรษฐศาสตร์บางคนมองว่า ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าวิกฤตอสังหาฯ ครั้งนี้จะเบาลง 

โมเดลเศรษฐกิจที่มีข้อบกพร่อง 

วิกฤตอสังหาฯ ครั้งนี้ทำให้เห็นปัญหาการทำหน้าที่ของเศรษฐกิจจีน การเติบโตอย่างน่าทึ่งของจีนในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาถูกขับเคลื่อนด้วยการก่อสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง สะพาน ทางรถไฟ ไปจนถึงโรงงาน สนามบิน และบ้าน ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลท้องถิ่นในการดำเนินการต่างๆ เหล่านี้ 

ทว่านักเศรษฐศาสตร์บางคนมองว่าวิธีนี้เริ่มจะถึงทางตันแล้ว หนึ่งในตัวอย่างที่บ่งบอกว่าจีนชอบการก่อสร้างอยู่ที่มณฑลยูนนานติดกับชายแดนเมียนมา ปีนี้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของที่นั่นยังยืนยันว่าจะเดินหน้าแผนก่อสร้างศูนย์กักกันโควิด-19 มูลค่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อไป 

รัฐบาลท้องถิ่นที่มีหนี้ก้อนโตต้องตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักในปีนี้ จนกระทั่งบางแห่งถึงกับขายที่ดินให้ตัวเองเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในโครงการก่อสร้าง ประเด็นสำคัญคือ สิ่งที่จีนสร้างได้มีอยู่จำกัด ไม่เช่นนั้นจะเป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ จีนจำเป็นต้องหาหนทางใหม่ในการสร้างความมั่งคั่งให้ประชากรของตัวเอง 

อันโตนิโอ ฟาทาส ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากโรงเรียนธุรกิจ INSEAD ในสิงคโปร์เผยว่า “เรากำลังอยู่ในจุดของการเปลี่ยนแปลง โมเดลเก่าไม่ได้ผลแล้ว แต่เพื่อที่จะเปลี่ยนจุดสนใจ คุณต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างและสถาบันอย่างจริงจัง” 

ฟาทาสยกตัวอย่างว่า หากจีนต้องการให้ภาคการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจและแข่งขันกับสหรัฐฯ หรือยุโรป อันดับแรกรัฐบาลต้องผ่อนคลายข้อบังคับต่างๆ และยอมลดอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของภาคเอกชน ทว่าในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม รัฐบาลจีนควบคุมภาคการเงินอย่างเข้มงวด และปราบปรามบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ อย่างอาลีบาบา 

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาคือ การว่างงานของคนรุ่นใหม่ ผู้สำเร็จการศึกษาที่มีการศึกษาดีหลายล้านคนทั่วประเทศจีนกำลังดิ้นรนเพื่อหางานทำที่ดีในเขตเมือง ตัวเลขดือน ก.ค.ที่ผ่านมาระบุว่า 21.3% ของคนอายุ 16-25 ตกงาน และในเดือนต่อมาทางการจีนก็ประกาศว่าจะไม่เปิดเผยตัวเลขดังกล่าวแล้ว เนื่องจากตัวเลขสูงเกิน 

รัฐบาลจีนจะทำอะไรบ้าง 

การเปลี่ยนแปลงทิศทางของเศรษฐกิจจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งกรณีของจีนไม่น่าจะเปลี่ยนได้ ดูจากการที่พรรคคอมมิวนิสต์ควบคุมประชาชนอย่างเข้มงวดและการที่สีจิ้นผิงยังคุมพรรคคอมมิวนิสต์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น 

บางคนอาจแย้งว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอุดมการณ์ทางการเมือง แต่ในบางครั้งจีนก็กลายเป็นเหยื่อของความสำเร็จของตัวเอง ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันอาจดูต่ำเมื่อเทียบกับตัวเลขปีก่อนๆ ที่สูงกว่า นับตั้งแต่ปี 1989 เศรษฐกิจจีนโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ส่วนในปีนี้คาดการณ์ไว้ที่ 4.5% แม้จะลดค่อนข้างมาก แต่ก็ยังถือว่าสูงเมื่อเทียบกับของสหรัฐฯ หรือสหราชอาณาจักร และประเทศในยุโรปส่วนใหญ่ 

แน่นอนว่าสีจิ้นผิงต้องการให้เศรษฐกิจเติบโต ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังการเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมล้ำสมัย อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยีสีเขียว โดยทั้งหมดนี้ทำให้จีนมีความสามารถในการแข่งขันทั่วโลกและลดการพึ่งพาประเทศอื่น 

แนวคิดนี้อาจอธิบายได้ว่าทำไมรัฐบาลจีนจึงตอบสนองอย่างจำกัดต่อเศรษฐกิจที่ถดถอย จนถึงตอนนี้รัฐบาลจีนแทบจะไม่แตะอะไรเลย มีเพียงการผ่อนปรนข้อจำกัดการกู้เงินและลดดอกเบี้ยเล็กน้อย แทนที่จะอัดฉัดเงินจำนวนมากเข้าระบบเศรษฐกิจ 

บรรดานักลงทุนต่างชาติในจีนต่างต้องการให้รัฐบาลลงมือให้รวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจจะเล่นเกมในระยะยาว แต่นักเศรษฐศาสตร์บางคนกลับมองว่า ระบอบเผด็จการไม่เหมาะกับความยืดหยุ่น  

อย่างไรก็ดี ตอนนี้ยังทำได้เพียงคาดเดาเท่านั้น ก่อนหน้านี้จีนเคยรอดพ้นจากวิกฤตมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ที่แน่ๆ คือ ผู้นำจีนกำลังเผชิญกับความท้าทาย 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์