ในพิธีดังกล่าวมีกลุ่มพนักงานทั้งปัจจุบันและอดีตพนักงานผู้เคยทำงานในสายพานผลิตเครื่อ 747 มาร่วมรำลึกพร้อมส่งมอบโบอิ้ง 747 ลำที่ 1,574 ซึ่งถือเป็นลำสุดท้ายที่ของเครื่องรุ่นนี้ นับตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ 53 ปีก่อน โดยถูกส่งมอบให้กับสายการบิน Pan Am เป็นสายการบินแรกที่นำเครื่องรุ่นนี้ให้บริการ
สำหรับโบอิ้ง 747 ลำสุดท้าย ออกจากสายพานการผลิตของโรงงานโบอิ้งตั้งแต่ช่วงธันวาคม 2022 ที่ผ่านมา พร้อมมีกำหนดส่งมอบให้กับสายการบินขนส่งสินค้า แอตลาส แอร์ (Atlas Air) ช่วงมกราคม 2023 โดยโบอิ้ง 747 รุ่นสุดท้ายที่โบอิ้งผลิตคือ โบอิ้งรุ่น 747-8 จะเดินทางออกจากโรงงานโบอิง เอเวอร์เรตต์ (Boeing Everett) ซึ่งก่อสร้างขึ้นช่วงปลายทศวรรษ 1960 เพื่อเป็นสายพานประกอบเครื่องบินรุ่นนี้โดยเฉพาะนับตั้งแต่ 50 ปีก่อน ซึ่งนับว่าเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมการบิน ต่างมุ่งมั่นแข่งขันกันสร้างอากาศยานขนาดใหญ่เพื่อโชว์ศักยภาพด้านวิศวกรรม และพลิกโฉมปฏิวัติการขนส่งทางอากาศ
อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่าน เทรนด์การบินของโลกได้เปลี่ยนไป หลายสายการบินเปลี่ยนไปใช้เครื่องบินแบบ 2 เครื่องยนต์เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง และประหยัดค่าบำรุงรักษา ซึ่งไม่เพียงแค่การยุติผลิตเครื่อง 747 เท่านั้น แต่ฟากคู่แข่งในยุโรปอย่างแอร์บัส ก็ยกเลิกสายการผลิตเครื่องบินรุ่น A380 ซึ่งเป็นเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปแบบเครื่องรุ่น 747 เป็นเครื่องบินที่มีรูปแบบดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ที่เชื่อว่าไม่ว่าใครเห็นก็ต้องรู้จักว่านี่คือเครื่องโบอิ้ง 747 ด้วยเคบินโดยสารชั้นสองบริเวณส่วนหัวของเครื่องบินทำให้เครื่องลำนี้ได้ฉายาว่า "ราชินีแห่งท้องฟ้า"
แต่โลกจะไร้เครื่องบินอันเป็นเอกลักษณ์นี้ หากว่าไม่มีวิศวกรระดับตำนานนามว่า "โจ ซัตเตอร์" บิดาผู้แห่งเครื่องโบอิ้ง 747

โปรเจกต์เหลือเชื่อ ใช้เวลาออกแบบ 24 เดือน
โจ ซัตเตอร์ เกิดที่ซีแอตเทิล เมื่อปี 1921 ในหนังสือชีวประวัติ ‘747: Creating the World's First Jumbo Jet’ ที่เขียนโดย Harper Collins เขาเคยเล่าว่า เขามีความหลงใหลในการบินมาตั้งแต่เด็ก ในช่วงวัยเด็กเขามักเดินขึ้นไปบน Beacon Hill เพื่อเฝ้าดูเครื่องบินออกจากโรงงานโบอิ้งด้านล่าง กระทั่งเขาเรียนจบด้านวิศวกรรมการบินที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน จากนั้นเข้าทำงานในฐานะวิศวกรโบอิ้่งช่วงปี 1940 ซึ่งในเวลานั้นโบอิ้งยังเป็นบริษัทขนาดกลางที่ผลิตเครื่องบินสำหรับการขนส่งทางทหารเท่านั้น โดยมีคู่แข่งรายสำคัญอย่าง แมคดอนเนลล์ดักลาส (McDonnell Douglas) และล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin)
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด โบอิ้งหันมาพัฒนาเครื่องบินพาณิชย์ลำแรกของบริษัท ทำให้ซัตเตอร์มีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาเครื่องรุ่น 707 ซึ่งเป็นเครื่องบินเจ็ตไอพ่นลำแรกของโบอิ้ง ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960 เป็นห้วงเวลาที่อุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ต่างกำลังแข่งขันกันอย่างสูง หลายสายการบินต่างหาวิธีการขนส่งผู้โดยสารจำนวนมากข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ในเวลานั้น บรรดาสายการบินมีเพียงทางเลือกเดียวคือใช้เครื่องบินลำเล็ก ทั้งมีการต้องแวะพักหลายครั้ง ซึ่งใช้เวลานานและไม่มีประสิทธิภาพ โบอิ้งจึงมองเห็นโอกาสในการสร้างเครื่องบินชนิดใหม่ที่สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้หลายร้อยคนในเที่ยวบินเดียว ในเวลานั้นซัตเตอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในวิศวกรที่กำลังพัฒนาเครื่องบินขนาดเล็กรุ่น 737 จึงถูกย้ายให้มาทำหน้าที่หัวหน้าทีมวิศวกรผู้สร้างโบอิ้ง 747
ซัตเตอร์ ได้รับโจทย์อันท้าทายจากโบอิ้ง ให้หาแนวทางการสร้างเครื่องบินที่มีขนาดใหญ่ สามารถบินได้ไกล และขนส่งผู้โดยสารได้จำนวนมาก ซัตเตอร์และทีมวิศวกรของเขาเริ่มออกแบบแนวคิด ‘เครื่องบินสองชั้น’ ที่ไม่เคยสร้างที่ไหนมาก่อน โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Lockheed C-141 Starlifter ซึ่งเป็นเครื่องบินขนส่งทางทหารที่มี ‘พ็อต’ ขนาดเล็กด้านบนห้องนักบิน
ซัตเตอร์นำแนวคิดดังกล่าวมาผสมรวมกับคุณสมบัติของเครื่องบินพาณิชย์แบบ 4 เครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูงที่ถูกใช้เป็นเครื่องบินพาณิชย์ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในเวลานั้นคือ เครื่องโบอิ้ง 707 และดักลาส ดีซี-8
ซัตเตอร์ กล่าวในตอนหนึ่งของหนังสือชีวประวัติของเขาว่า โปรเจกต์ 747 นับว่าเป็น ‘เดิมพัน’ ครั้งสำคัญของโบอิ้ง เพราะบริษัทได้ทุ่มเงินวิจัยและพัฒนาจำนวนมาก ท่ามกลางบริษัทผลิตเครื่องบินคู่แข่งที่กำลังกอบโกยคำสั่งซื้อจำนวนมากจากสายการบิน ซัตเตอร์ใช้เวลาออกแบบ 24 เดือน จึงทำให้เกิดเครื่อง 747 รุ่นต้นแบบได้สำเร็จ
ในเวลานั้น ยังไม่มีใครเชื่อว่าทีมวิศวกรของเขาจะทำให้นกเหล็กน้ำหนักเกือบ 400 ตัน บินขึ้นสู่ฟากฟ้าได้สำเร็จ ดีไซน์แรกของ 747 ในเวลานั้นยังเป็นเพียงแค่พิมพ์เขียวในกระดาษ ยังไม่มีสายการบินใดให้ความสนใจสั่งซื้อ กระทั่งวันหนึ่งโบอิ้งได้นำโครงการนี้ไปเสนอต่อสายการบิน Pan Am ในเดือนเมษายน 1966 Pan Am ตัดสินใจซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 747-100 จำนวน 25 ลำในราคา 525 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเวลานั้น ทำให้ Pan Am เป็นสายการบินแรกที่สั่งซื้อเครื่องรุ่นนี้
วันที่ลงนามสั่งซื้อ ฮวน ทริปเป้ (Juan Trippe) ผู้ก่อตั้งสายการบิน Pan Am กล่าวว่า เครื่องบินรุ่นนี้ มันจะไม่เป็นเพียงแค่สิ่งที่ปฏิวัติวงการขนส่งทางอากาศเท่านั้น แต่มันจะเป็นไอคอนนิกที่สำคัญของสหรัฐอเมริกาในฐานะชาติผู้นำแห่งอากาศยานด้วย
9 ก.พ. 1969 ท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็นในเมืองเอเวอร์เรตต์ ที่ตั้งของโรงงานโบอิ้ง ผู้คนนับพันทั้งแขกวีไอพี นักเรียน ลูกค้าสายการบิน ตลอดจนพนักงานทุกภาคส่วนของโบอิ้ง มาต่อแถวเพื่อเฝ้าดูเครื่องโบอิ้ง 747 ลำต้นแบบที่ชื่อ ‘Spirit of Everett’ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นครั้งแรก
ในการให้สัมภาษณ์ต่อ Everett Herald สื่อท้องถิ่นเมื่อปี 2004 ซัตเตอร์เคยเล่าว่า วันหนึ่งภรรยาของเขาไปซื้อของในร้านของชำ แต่ถูกพนักงานของร้านถามว่า สามีเขาเสียสติไปแล้วหรือไม่ที่คิดจะนำนกเหล็กหนักหลายร้อยตันขึ้นสู่ฟากฟ้าได้
กระทั่งเวลาเกือบเที่ยง หลังหมายกำหนดการล่าช้าไปเกือบชั่วโมงครึ่ง นกเหล็กหนัก 380 ตัน วิ่งทำความเร็วบนรันเวย์ 184 ไมล์ต่อชั่วโมง ก่อนจะทะยานขึ้นได้สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยมี แจ็ค แวดเดลล์ และ ไบร์อัน วิเกิล ทำหน้าที่นักบินและนักบินผู้ช่วย พวกเขานำเครื่อง 747 บินทดสอบในเที่ยวบินแรกนาน 110 นาที ด้วยความสูงถึง 15,500 ฟุต ซึ่งทั้งสองกล่าวหลังเสร็จสิ้นการทดสอบว่า แม้จะเป็นเครื่องบินขนาดใหญ่ แต่พวกเขากลับประหลาดใจถึงความง่ายดายในการควบคุมเครื่องบินอย่างมาก
ในมุมของซัตเตอร์ในฐานะหัวหน้าวิศวกรผู้ออกแบบ คงไม่มีคำใดอธิบายความรู้สึกตื้นตันใจของเขาได้ มีครั้งนึงผู้สื่อข่าวถามหลังเสร็จสิ้นภารบินสอบไฟล์แรกว่า รู้สึกเช่นไรหลังทำให้นกยักษ์หนัก 400 ตันทะยานขึ้นได้สำเร็จ ซัตเตอร์ตอบว่า “คนอื่นมองมันในฐานะอากาศยาน แต่ผมมองว่ามันคือ ภาพร่างต้นแบบ 75,000 แผ่น ชิ้นส่วน 4.5 ล้านชิ้น สายไฟฟ้ายาว 136 ไมล์ ฐานล้อเกียร์ลงจอด 5 ขา ระบบไฮดรอลิก 4 ระบบ และการทำงานอย่างหนัก 10 ล้านชั่วโมง”

เครื่องบินไอคอนแห่งสหรัฐฯ
เมื่อพูดถึงโบอิ้ง 747 หลายคนอาจนึกถึงแอร์ ฟอร์ซ วัน เครื่องบินประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ยุคประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ที่นำเครื่อง 747 มาเป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ นับตั้งแต่นั้นภาพของผู้นำสหรัฐฯ ทุกคนมักอยู่คู่กับโบอิ้ง 747 เรื่อยมา แต่อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้ 747 กลายเป็นเครื่องบินอันเป็นไอคอนของสหรัฐฯในแง่นวัตกรรม 747 เป็นเครื่องบินพาณิชย์ลำตัวกว้างลำแรกที่มีการออกแบบดาดฟ้าสองชั้นที่โดดเด่นซึ่งช่วยให้มีพื้นที่โดยสารมากขึ้นและใช้ประโยชน์จากห้องโดยสารได้ดีขึ้น การออกแบบที่เป็นนวัตกรรมและความจุที่มากขึ้นเป็นการปูทางสู่อนาคตของการเดินทางทางอากาศและเปลี่ยนวิธีคิดของผู้คนเกี่ยวกับการเดินทางทางอากาศ ทั้งเป็นต้นแบบของการดีไซน์เครื่องบินในยุคต่อมา
ในแง่ความน่าเชื่อถือ 747 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องบินที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพในระดับสูง ทั้งการขนส่งผู้โดยสารและการขนส่งคาร์โก้ ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมในหมู่สายการบินทั้งพาณิยช์และสายการบินขนส่งสินค้า
อิทธิพลด้านวัฒนธรรมก็เป็นสิ่งที่ทำให้เครื่อง 747 เป็นที่รู้จักเช่นกัน โดยในยุค 1980 เครื่องบินรุ่นนี้ปรากฏในสื่อสมัยใหม่หลายรูปแบบทั้งภาพยนตร์ รายการทีวี และโฆษณา ซึ่งช่วยเสริมสถานะของเครื่องบินให้เป็นสัญลักษณ์ การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และโหนกที่โดดเด่นทำให้เป็นที่จดจำได้ง่าย และกลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัยใหม่
747 ยังมีอิทธิพลด้านเศรษฐกิจเช่นกัน เพราะเมื่อหลังเปิดตัวครั้งแรก คำสั่งซื้อจากสายการบินจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาแบบไม่หยุด สายการบินทั่วโลกต้องการเป็นเจ้าของเครื่องบินแห่งยุคลำนี้ ทำให้โบอิ้งต้องสร้างโรงงานสายพานประกอบ 747 ขนาดใหญ่ที่เมืองเอเวอร์เรตต์ ชานนครซีแอตเทิล สร้างงานนับพันตำแหน่งและรายได้อันมหาศาลให้กับประเทศ ทั้งเป็นแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก
ซัตเตอร์ เสียชีวิตในปี 2016 ทว่าในพิธีการส่งมอบเครื่อง 747 ลำสุดท้ายให้กับบริษัทขนส่ง แอตลาส แอร์ (Atlas Air) หลานของโจ ซัตเตอร์ กล่าวว่า แม้วันนี้ปู่ของเขาจะไม่ได้อยู่ดูวันที่เครื่อง 747 ลำสุดท้ายออกจากโรงงานโบอิ้ง แต่เครื่องบิน 747 ล้วนมีส่วนช่วยให้เครื่องบินรุ่นนี้มีสถานะเป็นเครื่องบินสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกา มันยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องบินที่เป็นที่รู้จักและเป็นที่ชื่นชอบมากที่สุดในโลก และมรดกของมันจะยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไป