ผลการเลือกตั้ง 2566 ที่ชัดเจนว่า "พรรคก้าวไกล" ซึ่งนำโดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในฐานะพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่งด้วยคะแนนเสียง 152 เสียง จึงส่งผลให้พรรคก้าวไกลเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
แม้จะมีข้อถกเถียงตลอดจนข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย เกี่ยวกับคะแนนที่พรรคก้าวไกลได้รวมกับคะแนนจากพรรคร่วมรัฐบาลที่ได้ 311 เสียงนั่น อาจไม่เพียงพอต่อการ "ต้าน" คะแนนเสียงจากส.ว. ซึ่งมีทั้งสิ้น 250 เสียง เพื่อให้บรรลุคะแนนเกิน 375 เสียง ที่มากพอจะรับรองนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่ก็นับว่ามีกระแสที่เรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง และส.ว.บางส่วน ยอมรับฉันทามติประชาชนตามครรลองประชาธิปไตยในการยกมือโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
สิ่งที่น่าสนใจในโมเดลการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคก้าวไกลคือ การที่พิธา เสนอแนวคิดการลงนามข้อตกลงพรรคร่วมรัฐบาล MoU (Memorandum of Understanding) ซึ่งในทางการเมืองไทยเรามักไม่ค่อยคุ้ยเคยกับการลงนาม MoU ทางการเมืองสักเท่าใด แต่เราจะคุ้นเคยกับการลงนาม MoU ระหว่างภาคเอกชนด้วยกัน หรือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือ MoU ตั้งรัฐบาลนี้ กลับเป็นแนวทางที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในรัฐบาลหลายชาติ สำหรับการจัดตั้งรัฐบาล "หลายขั้ว" ที่อาจมีจุดยืนในบางประเทศเหมือนและแตกต่างกัน ซึ่งหากจะหาตัวอย่างโมเดล MoU ตั้งรัฐบาลไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล รัฐบาลมาเลเซียชุดปัจจุบัน ก็มีการลงนาม MoU พรรคการเมืองเช่นกัน เพื่อการันตีเสถียรภาพของรัฐบาล
SPACEBAR จะพาไปย้อนดูโมเดล MoU ทางการเมืองในมาเลเซียว่าเขาทำกันยังไงและมีหน้าตาอย่างไร
แม้จะมีข้อถกเถียงตลอดจนข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมาย เกี่ยวกับคะแนนที่พรรคก้าวไกลได้รวมกับคะแนนจากพรรคร่วมรัฐบาลที่ได้ 311 เสียงนั่น อาจไม่เพียงพอต่อการ "ต้าน" คะแนนเสียงจากส.ว. ซึ่งมีทั้งสิ้น 250 เสียง เพื่อให้บรรลุคะแนนเกิน 375 เสียง ที่มากพอจะรับรองนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่ก็นับว่ามีกระแสที่เรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง และส.ว.บางส่วน ยอมรับฉันทามติประชาชนตามครรลองประชาธิปไตยในการยกมือโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
สิ่งที่น่าสนใจในโมเดลการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคก้าวไกลคือ การที่พิธา เสนอแนวคิดการลงนามข้อตกลงพรรคร่วมรัฐบาล MoU (Memorandum of Understanding) ซึ่งในทางการเมืองไทยเรามักไม่ค่อยคุ้ยเคยกับการลงนาม MoU ทางการเมืองสักเท่าใด แต่เราจะคุ้นเคยกับการลงนาม MoU ระหว่างภาคเอกชนด้วยกัน หรือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือ MoU ตั้งรัฐบาลนี้ กลับเป็นแนวทางที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในรัฐบาลหลายชาติ สำหรับการจัดตั้งรัฐบาล "หลายขั้ว" ที่อาจมีจุดยืนในบางประเทศเหมือนและแตกต่างกัน ซึ่งหากจะหาตัวอย่างโมเดล MoU ตั้งรัฐบาลไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล รัฐบาลมาเลเซียชุดปัจจุบัน ก็มีการลงนาม MoU พรรคการเมืองเช่นกัน เพื่อการันตีเสถียรภาพของรัฐบาล
SPACEBAR จะพาไปย้อนดูโมเดล MoU ทางการเมืองในมาเลเซียว่าเขาทำกันยังไงและมีหน้าตาอย่างไร

‘อันวาร์’นักโทษ สู่ ‘นายกฯ’
ย้อนกลับไปในการเลือกตั้งมาเลเซียเมื่อปี 2018 การขับเคี่ยวระหว่างมหาเธร์ มูฮัมหมัด กับ นาจิบ ราซัก ซึ่งผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น “ดร.เอ็ม” ชนะการเลือกตั้งโค่นนาจิบ ราซัก ที่ครองตำแหน่งนายกมาเลย์มายาวนาน จนนำไปสู่คดีโกงสะเทือนโลก 1MDB ที่เชื่อมโยงธนาคารและนักลงทุนดังหลายคน สำหรับอันวาร์แล้ว มหาเธร์ก็เปรียบเสมือนพ่อผู้ให้กำเนิดอันวาร์บนเส้นทางการเมือง และมหาเธร์ก็เองก็เป็นคนนำอันวาร์เข้าคุกชีวิตของอันวาร์ไม่ต่างอะไรกับรถไฟเหาะ ตลอดเส้นทางการเมืองของเขาเป็นมาแล้วทั้ง ส.ส. รองนายกรัฐมนตรี จนถึงผู้นำฝ่ายค้าน และถูกจำคุกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในหลายข้อกล่าวหา ตั้งแต่ทุจริต จนถึงการล่วงละเมิดทางเพศทางทวารหนัก ซึ่งข้อกล่าวหาหลังนี้ ดูเหมือนจะเป็นชนักปักหลังอันวาร์ที่ทำให้เขาเข้าออกศาลและคุกเป็นว่าเล่น
กระทั่ง ปลายเดือนพฤศจิกายน 2022 ในที่สุดการรอคอยอันยาวนานของอันวาร์ก็สิ้นสุด เขาได้รับคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 19 พฤศจิกายน 2022 หลังจากที่ชาวมาเลย์ลงคะแนนให้พรรคปากาตัน ฮาราปัน ที่เขาเป็นแกนนำถึง 82 เสียง ขณะที่พรรคคู่แข่งอย่างพรรคเบอร์ซาตู ที่นำโดยมูยิดดิน ยัดซิน อดีตนายกมาเลย์ ได้รับ 74 เสียง และพรรคอัมโน นำโดยนายอิสมาอิล ยาคอป ได้คะแนน 30 เสียง
ย้อนกลับไปช่วง 2020 การเมืองมาเลเซียนับว่ามีการเปลี่ยนแปลงตัวนายกรัฐมนตรีบ่อยถึง 2 ครั้งจากความวุ่นวายภายใน ทั้งมูยิดดิน ยัตซิน และอิสมาอิล ยาคอป ต่างก็เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วง 2020 - 2022 ทั้งสิ้น แต่ท้ายที่สุดด้วยความวุ่นวายหลายปัจจัย การเมืองมาเลย์ก็เดินมาสู่สุญญากาศจนต้องเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ท้ายที่สุดในการเลือกตั้ง 2022 อันวาร์ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามหวังที่รอมานานนับสิบปี
แม้จะได้รับชัยชนะแต่คะแนนเสียงที่ได้ก็แทบจะปริ่มน้ำ ทำให้พรรคปากาตัน ฮาราปันที่มีคะแนนเสียง 82 ที่นั่ง ต้องไปจับมือกับพรรคที่เคยเป็นคู่แข่งในอดีตอย่างกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติ (Barisan Nasional) ที่ประกอบด้วยหลายพรรคการเมือง แต่นำโดยพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรคกลางขวาที่เคยมีอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก เป็นแกนนำ ส่งผลให้คะแนนเสียงจากการจับมือของสองกลุ่มขั้วการเมืองที่ประกอบจากหลายพรรคการเมืองอยู่ที่ 148 เสียงซึ่งมากพอจะตั้งรัฐบาล
ปัญหาต่อมาคือ แนวทางหลักของพรรคแกนนำอย่างปากาตัน ฮาราปัน และพรรคอัมโน ต่างก็มีจุดยืนในแนวทางที่ต่างกันออกไป นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการที่พรรคปากาตัน ฮาราปัน มีพรรคแนวร่วมแยกย่อยในอีกหลายพรรค เช่นเดียวกับพรรคอัมโนที่มีพรรคแนวร่วมเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยหลายพรรคเช่นกัน
ตามที่ระบุในข้างต้นกว่า นับตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2022 การเมืองมาเลเซียเผชิญความไม่มีเสถียรภาพในหลายครั้ง เห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงตัวนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีถึง 3 คนในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี นั่นทำให้มีการเสนอลงนาม MoU ของบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมือง แม้จะมีพรรคร่วมจากหลายขั้วการเมืองก็ตาม

หน้าตา MoU มาเลย์เป็นยังไง
การลงนามนี้มีขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่จะมีการเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี โดยในการแถลงข่าวหลังการลงนาม อันวาร์กล่าวว่าข้อตกลงนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การแบ่งอำนาจ แต่มุ่งเน้นไปที่ธรรมาภิบาลและการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ โดยเสริมว่า MoU จะรับประกันความมั่นคงของรัฐบาลจากพรรคการเมืองต่างๆ ตลอดระยะเวลาที่เป็นรัฐบาลตามบันทึก MoU ระบุเนื้อหาใจความสำคัญว่า พันธมิตรและพรรคที่ลงนามทั้งหมดต้องสนับสนุนรัฐบาลอันวาร์ในทุกเรื่อง เช่นเดียวกับการสนับสนุนที่อาจส่งผลต่อความชอบธรรมในการบริหารของเขา พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคต่างๆ มีหน้าที่รับผิดชอบในหน่วยงานที่ตนเองรับผิดชอบ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ร่างกฎหมายของรัฐบาลกลางปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงนี้ และส.ส. คนใดที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกพิจารณาให้ออกจากพรรค ซึ่งเป็นไปตามการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านส.ส.งูเห่าย้ายพรรคที่สภาผ่านร่างกฎหมายนี้ไปไม่นาน
อันวาร์กล่าวว่า การลงนาม MoU ประการแรกคือเพื่อธรรมาภิบาลและการต่อต้านการทุจริต ประการที่สองคือการดำเนินนโยบายที่สามารถรับประกันการเติบโตเพื่อรักษาประโยชน์ของประชาชนทุกส่วน โดยพรรคการเมืองไม่ยึดผลประโยชน์เป็นหลัก ในการลงนามครั้งนี้สถานที่ลงนามยังใช้ที่ทำการพรรค UMNO พรรคการเมืองซึ่งอันวาร์เคยถูกขับออกจากพรรคเมื่อ 25 ปีก่อน
“เพื่อให้เกิดความปรองดองและความยุติธรรม ว่าภายใต้รัฐบาลเอกภาพซึ่งประกอบจากหลายพรรคการเมืองนี้จะรักษาหลักการและจุดยืนที่เกี่ยวข้องกับจุดยืนของอิสลาม ชาวมลายูและชาวภูมิบุตร ชาวมาเลย์ และภาษามาเลย์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลาง ตลอดจนปกป้องสิทธิและเสรีภาพของ ผู้ที่ไม่ใช่ชาวมาเลย์ ไม่ใช่ชาวภูมิปุเระ และไม่ใช่ชาวมุสลิม ให้มีอิสระในการนับถือศาสนาและความเชื่อของตนตามรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลาง” ตอนหนึ่งในเนื้อหาของ MoU ที่มีการระบุ
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ MoU ที่บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลลงนาม แต่ถึงแม้จะเป็นแนวทางที่น่าสนใจ ทว่าในมุมมองของนักวิชาการด้านการเมืองมองว่า MoU ไม่ใช่เครื่องมือการรันตีเสถียรภาพรัฐบาลได้เสมอไป
เจมส์ ชิน ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแทสเมเนียกล่าวกับสำนักข่าว Benar News ว่า สนธิสัญญาไม่ใช่เอกสารที่สามารถบังคับใช้ได้ “หากคู่สัญญาฝ่ายใดละเมิดข้อตกลง จะไม่มีทางถูกดำเนินคดีในศาลโดยบอกว่าพวกเขาละเมิดข้อตกลง หากพรรคใดในรัฐบาลชุดปัจจุบันต้องการย้าย พวกเขาจะไม่ถูกมองว่าทำผิดกฎหมาย พวกเขาแค่ทำลาย MoU นี่เป็นเพียงคำสัญญาของพรรคการเมืองว่าจะทำงานร่วมกันเท่านั้น”
สอดคล้องกับ Oh Ei Sun นักวิชาการจาก Singapore Institute of International Affairs กล่าวว่า สนธิสัญญาดังกล่าวเป็น “เพียงเอกสารชี้แจงความคาดหวัง มันให้กลิ่นอายของความเป็นทางการแก่รัฐบาลผสม ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น แท้จริงแล้ว MoU ก็อาจไม่ใช่เครื่องการันตีความมั่นคงของรัฐบาล” ท้ายที่สุด MoU จะการันตีรัฐบาลมาเลเซียภายใต้การนำของอันวาร์ อิบราฮิม ได้แค่ไหน ก็ต้องรอดูให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์