ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หากใครไถหน้าฟีดบนเฟซบุ๊กหรือโซเชียลมีเดียต่างๆ คนจะเห็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่ง (ที่ตลกหน้าตาย) ถามนักวิชาการที่มาด้วยมาดเคร่งขรึม พร้อมคำถามแปลกๆ เช่น ‘ถ้าเยซูไม่หิวแสง ก็คงไม่ถูกจักรพรรดิโรมสั่งตรึงกางเขน’ หรือ ‘โลกปัจจุบันยังคงสืบทอดอักษรเฮียโรกลิฟส์อียิปต์ในรูปแบบอิโมจิบนไอโฟน’ และ ‘ทำไมพีระมิดไม่สร้างกลับหัว’ นั่นคือสารคดีเรื่อง ‘Cunk on Earth’ ที่ฉายอยู่บนเน็ตฟลิกซ์ในตอนนี้
Cunk on Earth หรือ มองโลกผ่านคังค์ เป็นสารคดีล้อเลียน (Mockumentary) ที่มี ไดแอน มอร์แกน อดีตนักข่าวและพิธีกรของ BBC รับบทดำเนินเรื่องโดยแบ่งเป็น 5 ตอน ซึ่งจะเล่าถึงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงยุคอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน ด้วยมุมมองแบบจิกกัดที่เรียกเสียงฮาได้ตลอดแทบทุกนาที โดยมีพิธีกรนำเพียงหนึ่งเดียวคือ ไดแอน พิธีกรตลกหน้าตายที่ทำให้คนดูเชื่อว่า เธอกวนประสาทนักวิชาการได้สุดจริงๆ โดยสวมบทคาแรคเตอร์ในสารคดีในชื่อ ‘ฟีโลมีนา คังค์’ Philomena Cunk
หากจะให้เขียนรีวิวหรืออธิบายความตลก (หน้าตาย) ของพิธีกรสุดกวนพร้อมกับคำถามชวนฮาก็คงไม่สนุกเท่ากับให้ผู้อ่านไปชมในเน็ตฟลิกซ์เอง แต่สิ่งที่น่าสนใจของสารคดีเรื่องนี้คือ การนำเสนอในรูปแบบ Mockumentary ที่ทำให้เรื่องราวที่ดูจะเป็นเรื่องซีเรียสและยากจะเข้าใจ กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ชมต้องรู้สึกเอ๊ะใจจนชวนให้คิดถึงประวัติศาสตร์ในอีกมุมมองหนึ่งเช่นกัน
คำว่า ‘Mockumentary’ มาจากการสมาสคำระหว่าง Mocking ที่แปลกว่า จำลอง, เยอะเย้ย กับคำว่า Documentary หรือสารคดี แปลง่ายๆ คือสารดคีเชิงล้อเลียน
การนำเสนอสารคดีหรือภาพยนตร์ในรูปแบบนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายเรื่องที่นำเสนอในลักษณะเชิงจิกกัดตลกขบขัน อาทิ The Office, Borat และ This Is Spinal Tap ที่โด่งดังจากการเสียดสีสังคมการเมือง
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ผลิตสารคดีบางกลุ่มมองว่า การนำเสนอแนวนี้ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรมากไปกว่าการล้อเลียนตลกขบขัน แต่ในแง่ความจริง Mockumentary ได้รับการยอมรับว่าสามารถแฝงการนำเสนอข้อความหรือบางประเด็นที่อาจถูกมอบข้าม มาเล่าเรื่องในรูปแบบล้อเลียน ที่ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการแสดงความคิดเห็นทางสังคมและการเมืองในลักษณะที่ละเอียดอ่อนแต่มี Impact ต่อสังคม
สิ่งที่หลายคนไม่ได้ตระหนักก็คือการใช้การเล่าเรื่องล้อเลียนมักเป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการแก้ไขปัญหาร้ายแรงโดยไม่ต้องเน้นหนักหรือเน้นการสอนที่ให้ข้อมูลอย่างซีเรียสมากเกินไป
Cunk on Earth หรือ มองโลกผ่านคังค์ เป็นสารคดีล้อเลียน (Mockumentary) ที่มี ไดแอน มอร์แกน อดีตนักข่าวและพิธีกรของ BBC รับบทดำเนินเรื่องโดยแบ่งเป็น 5 ตอน ซึ่งจะเล่าถึงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงยุคอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน ด้วยมุมมองแบบจิกกัดที่เรียกเสียงฮาได้ตลอดแทบทุกนาที โดยมีพิธีกรนำเพียงหนึ่งเดียวคือ ไดแอน พิธีกรตลกหน้าตายที่ทำให้คนดูเชื่อว่า เธอกวนประสาทนักวิชาการได้สุดจริงๆ โดยสวมบทคาแรคเตอร์ในสารคดีในชื่อ ‘ฟีโลมีนา คังค์’ Philomena Cunk
หากจะให้เขียนรีวิวหรืออธิบายความตลก (หน้าตาย) ของพิธีกรสุดกวนพร้อมกับคำถามชวนฮาก็คงไม่สนุกเท่ากับให้ผู้อ่านไปชมในเน็ตฟลิกซ์เอง แต่สิ่งที่น่าสนใจของสารคดีเรื่องนี้คือ การนำเสนอในรูปแบบ Mockumentary ที่ทำให้เรื่องราวที่ดูจะเป็นเรื่องซีเรียสและยากจะเข้าใจ กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ชมต้องรู้สึกเอ๊ะใจจนชวนให้คิดถึงประวัติศาสตร์ในอีกมุมมองหนึ่งเช่นกัน
คำว่า ‘Mockumentary’ มาจากการสมาสคำระหว่าง Mocking ที่แปลกว่า จำลอง, เยอะเย้ย กับคำว่า Documentary หรือสารคดี แปลง่ายๆ คือสารดคีเชิงล้อเลียน
การนำเสนอสารคดีหรือภาพยนตร์ในรูปแบบนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายเรื่องที่นำเสนอในลักษณะเชิงจิกกัดตลกขบขัน อาทิ The Office, Borat และ This Is Spinal Tap ที่โด่งดังจากการเสียดสีสังคมการเมือง
อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ผลิตสารคดีบางกลุ่มมองว่า การนำเสนอแนวนี้ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรมากไปกว่าการล้อเลียนตลกขบขัน แต่ในแง่ความจริง Mockumentary ได้รับการยอมรับว่าสามารถแฝงการนำเสนอข้อความหรือบางประเด็นที่อาจถูกมอบข้าม มาเล่าเรื่องในรูปแบบล้อเลียน ที่ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการแสดงความคิดเห็นทางสังคมและการเมืองในลักษณะที่ละเอียดอ่อนแต่มี Impact ต่อสังคม
สิ่งที่หลายคนไม่ได้ตระหนักก็คือการใช้การเล่าเรื่องล้อเลียนมักเป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการแก้ไขปัญหาร้ายแรงโดยไม่ต้องเน้นหนักหรือเน้นการสอนที่ให้ข้อมูลอย่างซีเรียสมากเกินไป

จากละครวิทยุถึง ฟาเรนไฮต์ 9/11
Mockumentaries มีมานานหลายทศวรรษแล้ว แต่เพิ่งได้รับความนิยมกระแสหลักเมื่อไม่นานมานี้ ในช่วงแรกของการผลิต Mockumentaries เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการล้อเลียนเพื่อสร้างความบันเทิงพร้อมกับจิกกัดสังคมในช่วงเวลานั้น ตัวอย่างของสารคดีเชิงล้อเลียนในช่วงยุค 1930 คือละครวิทยุเรื่อง The War of the Worlds ที่เป็นการนำนวนิยายดังของนักเขียนอังกฤษ H. G. Wells ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกที่ถูกบุกโดยเอเลี่ยนต่างดาว มาทำล้อเลียนสังคมและการเมืองในยุคนั้น จนถึงขั้นที่มีชาวบ้านบางคนเชื่อว่าโลกถูกเอเลี่ยนบุกจริงๆ ขั้นโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแล้วในยุคเดียวกันนี้ ก็มีรายการวิทยุชื่อ ‘The March of Time’ เริ่มใช้เทคนิครูปแบบสารคดีเพื่อรายงานเหตุการณ์ปัจจุบัน แม้ว่ารายการจะไม่ใช่การล้อเลียน แต่เป็นการเสียดสีโดยใช้อารมณ์ขันและการประชดประชันเพื่อวิจารณ์การเมืองและสังคมอเมริกัน
ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1930 ถึง 1950 มีละครล้อเลียนเกิดขึ้นมากมาย แต่หนึ่งในละครล้อเลียนยุคนั้นซึ่งได้รับการยกย่องคือเรื่อง ‘The True Story of the Kelly Gang’ ในปี 1957 ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องของเน็ด เคลลี โจรนอกกฎหมายชาวออสเตรเลียที่ไร้ประสบการณ์ความเป็นโจรโดยสิ้นเชิง แต่ก็ยังไม่ถูกทางการ โดยเป็นการล้อเลียนการทำงานของท้องถิ่นออสเตรเลียในเวลานั้น
ละครหรือสารคดีเชิงเสียดสีล้อเลียน ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงยุค 1980 จะเห็นได้ว่ามีการผลิต Mockumentaries ในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น หนึ่งในภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุคนี้คือ ‘This is Spinal Tap’ กำกับโดย Rob Reiner และออกฉายในปี 1984 ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการล้อเลียนวงการเพลงร็อกต่อจากวง Spinal Tap ที่พวกเขาออกทัวร์คอนเสิร์ตในสหรัฐ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำในรูปแบบสารคดีและมีชื่อเสียงในด้านอารมณ์ขันหน้าตาย
อีกหนึ่งผลงานล้อเลียนที่ทรงอิทธิพลในช่วงทศวรรษ 1980 คือ ‘The Rutles: All You Need Is Cash’ ที่ออกฉายในปี 1978 เป็น Mockumentaries ล้อเลียนวงเดอะบีทเทิลส์ ซึ่งเป็นวงดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในเลานั้น ผ่านการเล่า ทั้งสองเรื่องนี้ ถือว่าเป็น Mockumentaries ที่ปูทางมาสู่ยุครุ่งเรื่องของการทำละครและสารคดีล้อเลียนในยุคถัดมา
ช่วง 1990 ถึง 2000 นับว่าเป็นห้วงเวลาที่การผลิต Mockumentaries รุ่งเรื่องอย่างมาก มีสารคดี ภาพยนตร์เชิง และละครเชิงล้อเลียนที่ได้รับเสียงชื่นชมยกย่องมากมาย อีกทั้ง Mockumentaries ในยุคนี้ยังได้ชื่อว่า สามารถสร้างผลกระทบเชิงวงกว้างต่อสังคมอย่างมาก
ตัวอย่างหนึ่งของการล้อเลียนที่กล่าวถึงหัวข้อเท็จจริงทางสังคมได้อย่างแยบบล คือ The Office ซึ่งเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่สร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรกในสหราชอาณาจักร และต่อมาได้รับความนิยมถูกนำไปดัดแปลงในภายหลังในสหรัฐอเมริกา รายการนี้เป็นซิทคอมสไตล์ล้อเลียนที่ติดตามการดำเนินงานประจำวันของบริษัทแห่งหนึ่งชื่อดันเดอร์ มิฟฟลิน
แม้ว่ารายการจะเป็นเรื่องตลกเป็นหลัก แต่ก็ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในที่ทำงาน การกีดกันทางเพศ และความน่าเบื่อของชีวิตในออฟฟิศสมัยใหม่ รูปแบบการจำลองของรายการช่วยให้ผู้สร้างสามารถเจาะลึกหัวข้อเหล่านี้ในลักษณะที่สัมพันธ์กันและง่ายต่อการแยกแยะ จุดเด่นนี้ทำให้ได้รับความนิยมอย่างมากต่อผู้ชมชาวอังกฤษ
อีกตัวอย่างหนึ่งของภาพยนตร์ล้อเลียนที่กล่าวถึงประเด็นเปราะบางคือ Borat: Cultural Learnings of America for Make Benefit Glorious Nation of Kazakhstan ภาพยนตร์ที่แสดงโดย ซาชา บารอน โคเฮน รับบทเป็นนักข่าวชาวคาซัคที่สวมบทบาทซึ่งเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมอเมริกัน แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มักถูกมองว่าเป็นหนังตลกที่หยาบคาย แต่ก็ให้คำวิจารณ์ที่แหลมคมเกี่ยวกับสังคมอเมริกันและความหลากหลายของเชื้อชาติตลอดจนการเหยียดเชื้อชาติและการกีดกันทางเพศ ผ่านการเล่าเรื่องในรูปแบบล้อเลียนทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเนื้อหาในรูปแบบที่ทั้งสนุกสนานและกระตุ้นความคิดวิพากษ์วิจารณ์สังคมอเมริกันในยุคนั้น
อีกหนึ่ง Mockumentaries ที่ล้อเลียนการทำงานของผู้นำและวิจารณ์ประเด็นทางสังคมและการเมือง โดยหยิบยกเหตุการณ์โศกนาฏกรรมระดับโลกมาเล่าคือเรื่อง ‘ฟาเรนไฮต์ 9/11’ ของผู้กำกับ Michael Moore ในปี 2004 ซึ่งใช้รูปแบบล้อเลียนนโยบายอันย้อนแย้งเพื่อวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู บุช ในการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย
ไม่ใช่แค่วัฒนธรรมสมัยนิยมอย่างภาพยนตร์หรือสารคดี เท่านั้นที่มีการใช้ Mockumentaries ล้อเลียนเพื่อแสดงความคิดเห็นทางสังคมและการเมือง บรรดาสื่อมวลชนกระแสหลักก็ใช้วิธีการนี้ในการล้อเลียนเพื่อสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งได้รับความนิยมอย่างมากจากบรรดาสำนักข่าวหลายแห่ง
ตัวอย่างหนึ่งคือซีรีส์สารคดีปี 2017 จากนิวยอร์กไทมส์คือเรื่อง The New York Times Presents: The Weekly ซึ่งนำเสนอช่วงที่เรียกว่า ‘Fake News’ ตีแผ่เรื่องราวสมมติเกี่ยวกับแคมเปญโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียที่มีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดและโน้มน้าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 แม้ว่าเนื้อหาส่วนนี้จะถูกนำเสนอในรูปแบบของนิยาย แต่ก็ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงอันตรายของข่าวปลอมและการโฆษณาชวนเชื่อ และผลกระทบที่อาจมีต่อสังคมอเมริกัน
อีกตัวอย่างหนึ่งคือภาพยนตร์ปี 2019 เรื่อง The Great Hack ซึ่งนำเสนอการเล่าเรื่องอื้อฉาวของบริษัท Cambridge Analytica ในรูปแบบล้อเลียน ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้การผสมผสานระหว่างตัวละครจริงและตัวละครสมมติเพื่อบอกเล่าเรื่องราวว่าบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลใช้ข้อมูลของ Facebook เพื่อโน้มน้าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 รูปแบบการล้อเลียนของภาพยนตร์ทำให้ผู้สร้างสามารถเจาะลึกประเด็นที่ซับซ้อน เช่น ความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและบทบาทของเทคโนโลยีในการเมือง เพื่อสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมของผู้ชมให้เข้าใจง่ายขึ้นอย่างแนบเนียน ในขณะที่ยังคงทำให้เรื่องราวเข้าถึงได้และมีส่วนร่วมสำหรับผู้ชม

ดาบสองคม Mockumentaries
แม้ว่าการใช้การเล่าเรื่องล้อเลียนจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแสดงความคิดเห็นทางสังคมและการเมือง ทว่าการใช้ถ้อยคำเสียดสีและการล้อเลียนอาจเป็นดาบสองคมที่สร้างข้อวิจารณ์ได้เช่นกัน เนื่องจากอาจเป็นเรื่องยากที่จะรักษาสมดุลระหว่างอารมณ์ขันและความจริงนอกจากนี้ ผู้ชมบางส่วนอาจแยกไม่ออกระหว่างข้อเท็จจริงและเรื่องแต่ง ซึ่งนำไปสู่ความสับสนและอาจเป็นอันตรายต่อข้อมูลที่ผิด อธิบายคือหากบริบทการนำเสนอที่มุ่งเป้า Bias ต่อบางประเด็นมากเกินไป อาจเป็นหนึ่งในเครื่องมือการปั่นกระแสความเข้าใจแบบผิดๆ ได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ในระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2004 กลุ่มที่เรียกว่า ‘Swift Boat Veterans for Truth’ ได้เผยแพร่ภาพยนตร์ล้อเลียนชื่อ ‘Stolen Honor: Wounds That Never Heal’ ภาพยนตร์เรื่องนี้วิจารณ์บันทึกสงครามเวียดนามของจอห์น เคอร์รี ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต และมีบทบาทสำคัญในการรณรงค์หาเสียง เพื่อหวังผลดิสเครดิตผู้แคนดิเดตประธานาธิบดี
เช่นเดียวกับหนึ่งในผลงานของ Michael Moore ที่ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือนและ Bias มากเกินไปจากการนำเสนอมุมมองด้านเดียวคือ ภาพยนตร์เรื่อง Bowling for Columbine ที่พบว่า ผ่านการเลือกบุคคลที่สัมภาษณ์หรือ ใช้เทคนิคการตัดต่อเพื่อจงใจนำเสนอเรื่องราวแค่มุมเดียว ที่ทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับสาเหตุของการสังหารหมู่ที่โรงเรียนมัธยม Columbine ในปี 1999
อย่างไรก็ตาม ก็มีตัวอย่างของซีรีส์เชิงล้อเลียนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อการเมืองเช่นกันคือเรื่อง The Thick of It ที่ออกอากาศในสหราชอาณาจักรในช่วงกลางทศวรรษที่ 2000 รายการนี้เป็นการเสียดสีการเมืองของอังกฤษ และเน้นให้เห็นความไร้เหตุผลของกระบวนการทางการเมือง ความนิยมของรายการนี้ช่วยดึงความสนใจไปที่ปัญหาเกี่ยวกับระบบการเมืองของอังกฤษ และมีบทบาทในการผลักดันการปฏิรูปการเมืองเช่นกัน
สรุปแล้ว แม้การการนำเสนอของภาพยนต์หรือสารคดีเชิงล้อเลียนแบบ Mockumentaries จะมีศักยภาพในการโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชน ผ่านการใช้มุขอารมณ์ขันเพื่อวิจารณ์ประเด็นทางสังคมและการเมือง และสามารถแนะนำแนวคิดและมุมมองใหม่ๆ ให้กับผู้ชมได้
อย่างไรก็ตาม บางครั้งการล้อเลียนอาจเป็นอันตรายได้เช่นกัน เพราะมันทำให้เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับเรื่องแต่งไม่ชัดเจน ซึ่งอาจนำไปสู่ความสับสนและข้อมูลที่ผิด เนื่องจากผู้ชมอาจแยกไม่ออกระหว่างเรื่องจริงและเรื่องล้อเลียน
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Mockumentaries ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติเช่นกัน เพราะมันไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องตลกชวนหัวเราะ แต่ยังแฝงข้อคิดเห็นทางสังคมโดยปริยายอีกด้วย