สำนักข่าว AP ระบุว่า 2 เดือนหลังจากพรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ไทยเพิ่งเปิดประชุมรัฐสภาสมัยใหม่ครั้งแรกเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าผู้นำพรรคก้าวไกลจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่หลังจากไทยต้องอยู่ภายใต้การปกครองของทหารมา 9 ปีได้หรือไม่
ชัยชนะอย่างท่วมท้นและเหนือความคาดหมายของก้าวไกลเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังฝ่ายตรงข้ามที่มีอำนาจ ซึ่งถือว่าก้าวไกลเป็นภัยคุกคามของสถานภาพปัจจุบันและสถาบันกษัตริย์ โดยวุฒิสมาชิกบางคนประกาศเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่สนับสนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะแสดงให้เห็นว่าวาระของก้าวไกลสะท้อนความเหนื่อยล้าของสาธารณชนตลอด 9 ปีของการปกครองโดยทหารภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แต่สิ่งที่ทำให้ก้าวไกลได้รับความนิยมจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก คือสิ่งที่ทำให้พรรคอนุรักษนิยมที่สนับสนุนราชวงศ์ตื่นตระหนกในเวลาเดียวกันด้วย เนื่องจากพรรคก้าวไกลจะปฏิรูปสถาบันที่ทรงอิทธิพล รวมทั้งสภาบันกษัตริย์และทหาร
AP ระบุอีกว่า แม้ว่าภัยคุกคามจากศัตรูที่มีอุดมการณ์ของก้าวไกลจะชัดเจน แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ ความตึงเครียดระหว่างก้าวไกลกับพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดในแนวร่วม นั่นคือพรรคเพื่อไทย
ไทเรลล์ ฮาร์เบอร์คอร์น นักวิชาการด้านไทยศึกษาจากมหาวิทยาลับวิสคอนซินเผยกับ AP ว่า “ตำแหน่งประธานสภามีความสำคัญเพราะเขาจะเป็นตัวกำหนดวาระของสภา เช่นเดียวกับความหนักเบาของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง”
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เผยว่า “ความไม่ไว้วางใจที่ชัดเจนระหว่างทั้งสองฝ่าย (ก้าวไกลกับเพื่อไทย) อาจเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพิธา ผู้นำพรรคเพื่อไทยไม่อาจถูกมองว่ายอมให้กับพรรคก้าวไกลมากเกินไป ความรู้สึกของคนในพรรคเพื่อไทยซึ่งเคยเป็นรุ่นใหญ่ที่ชนะการเลือกตั้งมาหลายสมัยและเคยเป็นผู้กำหนดวาระ” ทำให้พวกเขาหลายคนยืนยันว่าพรรคก้าวไกลต้องให้พรรคเพื่อไทยได้ตำแหน่งนี้
อรรถจักร์เผยอีกว่า หากเพื่อไทยไม่สามารถแสดงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับก้าวไกล มัน “จะลดพลังของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย” และทำให้ ส.ว. และพันธมิตรฝ่ายอนุรักษนิยม “มีเหตุผลมากขึ้นที่จะไม่เลือกพิธา”
นอกจากปัญหาระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทยและ ส.ว. แล้ว ยังมีความหวั่นเกรงว่าพิธาและพรรคจะถูกขัดขวางด้วยคดีความต่างๆ ซึ่งเป็นชะตากรรมเดียวกับหลายพรรคก่อนหน้านี้ที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายอนุรักษนิยม
รัฐบาลที่ทักษิณหนุนหลังหลายรัฐบาลและพรรคอื่นๆ ของก้าวไกลก่อนหน้านี้ตกเป็นเหยื่อของคำตัดสินของคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งทั้งสองเป็นองค์กรอิสระแต่มักจะตัดสินเข้าข้างฝ่ายอีลีต และศาลรัฐธรรมนูญ
ชัยชนะอย่างท่วมท้นและเหนือความคาดหมายของก้าวไกลเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังฝ่ายตรงข้ามที่มีอำนาจ ซึ่งถือว่าก้าวไกลเป็นภัยคุกคามของสถานภาพปัจจุบันและสถาบันกษัตริย์ โดยวุฒิสมาชิกบางคนประกาศเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่สนับสนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะแสดงให้เห็นว่าวาระของก้าวไกลสะท้อนความเหนื่อยล้าของสาธารณชนตลอด 9 ปีของการปกครองโดยทหารภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แต่สิ่งที่ทำให้ก้าวไกลได้รับความนิยมจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก คือสิ่งที่ทำให้พรรคอนุรักษนิยมที่สนับสนุนราชวงศ์ตื่นตระหนกในเวลาเดียวกันด้วย เนื่องจากพรรคก้าวไกลจะปฏิรูปสถาบันที่ทรงอิทธิพล รวมทั้งสภาบันกษัตริย์และทหาร
AP ระบุอีกว่า แม้ว่าภัยคุกคามจากศัตรูที่มีอุดมการณ์ของก้าวไกลจะชัดเจน แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ ความตึงเครียดระหว่างก้าวไกลกับพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดในแนวร่วม นั่นคือพรรคเพื่อไทย
ไทเรลล์ ฮาร์เบอร์คอร์น นักวิชาการด้านไทยศึกษาจากมหาวิทยาลับวิสคอนซินเผยกับ AP ว่า “ตำแหน่งประธานสภามีความสำคัญเพราะเขาจะเป็นตัวกำหนดวาระของสภา เช่นเดียวกับความหนักเบาของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง”
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เผยว่า “ความไม่ไว้วางใจที่ชัดเจนระหว่างทั้งสองฝ่าย (ก้าวไกลกับเพื่อไทย) อาจเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพิธา ผู้นำพรรคเพื่อไทยไม่อาจถูกมองว่ายอมให้กับพรรคก้าวไกลมากเกินไป ความรู้สึกของคนในพรรคเพื่อไทยซึ่งเคยเป็นรุ่นใหญ่ที่ชนะการเลือกตั้งมาหลายสมัยและเคยเป็นผู้กำหนดวาระ” ทำให้พวกเขาหลายคนยืนยันว่าพรรคก้าวไกลต้องให้พรรคเพื่อไทยได้ตำแหน่งนี้
อรรถจักร์เผยอีกว่า หากเพื่อไทยไม่สามารถแสดงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับก้าวไกล มัน “จะลดพลังของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย” และทำให้ ส.ว. และพันธมิตรฝ่ายอนุรักษนิยม “มีเหตุผลมากขึ้นที่จะไม่เลือกพิธา”
นอกจากปัญหาระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทยและ ส.ว. แล้ว ยังมีความหวั่นเกรงว่าพิธาและพรรคจะถูกขัดขวางด้วยคดีความต่างๆ ซึ่งเป็นชะตากรรมเดียวกับหลายพรรคก่อนหน้านี้ที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายอนุรักษนิยม
รัฐบาลที่ทักษิณหนุนหลังหลายรัฐบาลและพรรคอื่นๆ ของก้าวไกลก่อนหน้านี้ตกเป็นเหยื่อของคำตัดสินของคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งทั้งสองเป็นองค์กรอิสระแต่มักจะตัดสินเข้าข้างฝ่ายอีลีต และศาลรัฐธรรมนูญ
