มัสก์เตรียมออกจากทำเนียบขาวไปเป็นซีอีโอเต็มเวลาหลังกำไร Tesla ดิ่งฮวบ

23 เม.ย. 2568 - 08:43

  • อีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา (Tesla) ประกาศว่าเขาจะเริ่มลดบทบาทในหน่วยงาน ‘ประสิทธิภาพรัฐบาล’ (DOGE) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป

  • การประกาศดดังกล่าวมีขึ้นหลังรายได้และกำไรเทสลาลดลงอย่างมากในไตรมาสแรกของปี 2025 ท่ามกลางกระแสต่อต้านบทบาทของมัสก์ในทำเนียบขาว

musk-pull-back-doge-role-starting-may-amid-71-percent-dip-tesla-profits-SPACEBAR-Hero.jpg

อีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา (Tesla) ประกาศว่าเขาจะเริ่มลดบทบาทในหน่วยงาน ‘ประสิทธิภาพรัฐบาล’ (Department of Government Efficiency หรือ DOGE) ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่างานหลักด้านการปรับระบบการเงินภาครัฐ ‘ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว’ การประกาศดดังกล่าวมีขึ้นหลังรายได้และกำไรเทสลาลดลงอย่างมากในไตรมาสแรกของปี 2025 ท่ามกลางกระแสต่อต้านบทบาทของเขาในทำเนียบขาว 

“ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้ การจัดสรรเวลาของผมให้กับ DOGE จะลดลงอย่างมาก” มัสก์กล่าวในระหว่างการประชุมกับนักลงทุน แต่มัสก์จะยังคงทำ ‘งานที่สำคัญ’ สัปดาห์ละ 1-2 วันที่ DOGE ต่อไป “ตราบเท่าที่ประธานาธิบดีต้องการและเห็นว่าเป็นประโยชน์” 

มัสก์มีกำหนดจะออกจาก DOGE อย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการเป็น ‘เจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล’ ระยะเวลา 130 วัน  

ในไตรมาสแรกของปี 2025 เทสลามีรายได้ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีรายได้รวม 1.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.4 แสนล้านบาท) ต่ำกว่าที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ที่ 2.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.1 แสนล้านบาท) และกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 27 เซนต์ ต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ที่ 43 เซนต์ 

ผลประกอบการของเทสลาในไตรมาสแรกของปี 2025 พบว่ากำไรสุทธิร่วงลงถึง 71% เหลือ 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.3 หมื่นล้านบาท) จาก 1.39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.6 หมื่นล้านบาท) ในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ยอดส่งมอบรถยนต์ยังลดลง 13% อยู่ที่ 336,681 คัน ซึ่งเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดของบริษัทตั้งแต่ปี 2022 

แม้มัสก์จะยอมรับว่าเมื่อไม่นานมานี้มี ‘ช่วงเวลาที่ยากลำบาก’ แต่เขายังคงมองอนาคตของบริษัทในแง่ดี โดยกล่าวว่า “อนาคตของเทสลาจะดีกว่าที่เคยเป็นมา มูลค่าของบริษัทอยู่ที่การสร้างความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนด้วยหุ่นยนต์ขับเคลื่อนด้วย AI ในราคาที่จับต้องได้ ถ้าถามว่าอนาคตในอุดมคติคืออะไร นี่คือสิ่งที่คุณต้องการ : ความอุดมสมบูรณ์สำหรับทุกคน โดยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นี่คืออนาคตที่สดใสที่สุดที่คุณจินตนาการได้” มัสก์ กล่าว 

มัสก์เผยว่า “อนาคตที่สดใสนั้น รวมถึงแผนรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ พร้อมกำหนดกรอบเวลาเปิดตัวในบางเมืองของสหรัฐฯ ‘ภายในสิ้นปีนี้’” แม้เทสลาจะมีประวัติเปิดตัวเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติไม่ตรงตามกำหนดการก็ตาม แต่มัสก์ยังมั่นใจว่า “การทดสอบที่สำคัญคือ คุณสามารถนอนหลับในรถและตื่นขึ้นที่จุดหมายปลายทางได้ และผมมั่นใจว่าสิ่งนี้จะพร้อมให้บริการในหลายเมืองของสหรัฐฯ ภายในสิ้นปีนี้” 

นอกจากนี้ เทสลายังวางแผนเปิดตัวบริการ ‘โรโบแท็กซี่’ (Robotaxi) ในเดือนมิถุนายน มัสก์คาดการณ์ว่า “จะมีรถเทสลาหลายล้านคันที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า” 

แม้ผลประกอบการโดยรวมและกำไรสุทธิจะไม่เป็นไปตามที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทคาด แต่การตอบรับเบื้องต้นจากนักวิเคราะห์ยังคงเป็นไปในแง่ดี หลังหลายฝ่ายลดความคาดหวังลงอย่างมากจากรายงานการส่งมอบรถที่ลดลงอย่างหนัก 

โทมัส มอนเตโร นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Investing.com ระบุว่า “ท่ามกลางความคาดหวังที่เลวร้าย แต่ดูเหมือนว่าตัวเลขจะแสดงให้เห็นว่าแม้ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด การดำเนินงานของมัสก์และทีมก็ยังสามารถสร้างรายรับที่แข็งแกร่งถึง 1.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.4 แสนล้านบาท) ได้ โดยรายรับทั้งหมดชดเชยรายได้จากรถยนต์ที่ลดลงอย่างมากได้บางส่วน” 

“หากนี่คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับเทสลา แสดงว่าหุ้นของบริษัทน่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้เมื่อเกิดปัจจัยหนุน เช่น รุ่นราคาถูกกว่าที่หลายคนรอคอยและ Robotaxi ที่จะเข้าสู่ตลาดในช่วงปลายปีนี้” มอนเตโร กล่าว 

นักวิเคราะห์มองว่าปัญหาโดยรวมของบริษัทเกิดจากหลายปัจจัย แต่ท้ายที่สุดแล้วสรุปได้ว่า บทบาทของมัสก์ในทำเนียบขาวทำให้เกิดวิกฤตการสร้างแบรนด์สำหรับเทสลา บริษัทกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อมัสก์ออกจากตำแหน่งใน Doge และกลับมาเป็นซีอีโอที่เทสลาเต็มเวลา 

มัสก์กล่าวอีกว่า “ความต้องการที่ลดลงนั้นเป็นผลมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค ไม่ใช่การสร้างแบรนด์ เทสลาไม่สามารถหลุดพ้นจากความต้องการรถยนต์ในระดับมหภาคได้ เมื่อเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ผู้คนมักจะต้องการหยุดซื้อสินทรัพย์สำคัญๆ ชั่วคราว เช่น รถยนต์ หากไม่มีปัญหาในระดับมหภาค เราจะไม่เห็นความต้องการลดลง” 

(Photo by ANGELA WEISS / AFP)

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์