ซีเซียม-137 ที่หายไปจากโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่งในจังหวัดปราจีนบุรี กระทั่งช่วงค่ำของวันที่ 19 มีนาคม หน่วยงานท้องถิ่นจังหวัดปราจีนบุรีออกมายืนยันว่าพบซีเซียมดังกล่าวแล้วที่โรงหล่อมเหล็กแห่งหนึ่ง โดยปรากฏว่าท่อเหล็กที่กักเก็บซีเซียมถูกหลอมละลายในเตาหลอมเหล็ก ทั้งมีการตรวจพบสารกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 ปนเปื้อนในเขม่าหลอมเหล็ก ซึ่งในกระบวนการหลอมเหล็กจะเกิดฝุ่นแดงที่มาจากการหล่อม ฝุ่นเหล่านั้นถูกบรรจุกใส่ถุงบิ๊กแบ็ก เตรียมไปส่งขายแต่เคราะห์ดีที่ยังไม่ทันนำไปขาย เจ้าหน้าที่ไทยตรวจพบก่อนพร้อมทั้งมีการสั่งปิดล้อมโรงหลอมดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย
กรณีนี้แม้จะเคราะห์ดีที่ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์จะยืนยันว่า ปริมาณซีเซียมที่ใช้ในอุตสาหกรรมดังกล่าวจะไม่ได้มีปริมาณมากซึ่งห่างกันหลายเท่ากับกรณีของมหันตภัยนิวเคลียร์โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล แต่กรณีนี้ก็สะท้อนบทเรียนให้เราหลายเรื่องตั้งแต่การรับมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การสื่อสารยามวิกฤตต่อประชาชนของหน่วยงานด้านปรมานูซึ่งรับชอบเรื่องนี้โดยตรง
จนถึงการตระหนักรู้และเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับรังสีที่เป็นอันตราย เพราะหากสังเกตให้ดีจะเห็นเครื่องหมายคลายรูปกังหันสามใบที่มีวงกลมอยู่ตรงกลาง ซึ่งนั่นเป็นสัญลักษณ์เตือนอันตรายจากรังสีที่ถูกใช้มานานกว่า 70 ปี
แต่แม้จะใช้มานาน ก็ยังคงมีหลายคนไม่เข้าใจถึงสัญลักษณ์ดังกล่าว จนนำไปสู่การออกแบบสัญลักษณ์เตือนรังสีใหม่
กรณีนี้แม้จะเคราะห์ดีที่ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์จะยืนยันว่า ปริมาณซีเซียมที่ใช้ในอุตสาหกรรมดังกล่าวจะไม่ได้มีปริมาณมากซึ่งห่างกันหลายเท่ากับกรณีของมหันตภัยนิวเคลียร์โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิล แต่กรณีนี้ก็สะท้อนบทเรียนให้เราหลายเรื่องตั้งแต่การรับมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การสื่อสารยามวิกฤตต่อประชาชนของหน่วยงานด้านปรมานูซึ่งรับชอบเรื่องนี้โดยตรง
จนถึงการตระหนักรู้และเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับรังสีที่เป็นอันตราย เพราะหากสังเกตให้ดีจะเห็นเครื่องหมายคลายรูปกังหันสามใบที่มีวงกลมอยู่ตรงกลาง ซึ่งนั่นเป็นสัญลักษณ์เตือนอันตรายจากรังสีที่ถูกใช้มานานกว่า 70 ปี
แต่แม้จะใช้มานาน ก็ยังคงมีหลายคนไม่เข้าใจถึงสัญลักษณ์ดังกล่าว จนนำไปสู่การออกแบบสัญลักษณ์เตือนรังสีใหม่

ป้ายเตือนอันตรายที่ดูไม่อันตราย
ดร.แคโรลีน แมคเคนซี ผู้เชี่ยวชาญด้านแหล่งกำเนิดรังสีของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เคยระบุในเว็บบล็อกของ IAEA ว่า ครั้งหนึ่งในงานสัมนาด้านรังสี มีคนถามว่าป้ายสัญลักษณ์รูปใบพัดสามแฉกที่เตือนรังสีนั้น มันถูกออกแบบให้เป็นป้ายเตือนจริงๆ หรือไม่แท้จริงแล้วมีหลักฐานว่าป้ายนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาบนพื้นฐานของที่ต้องการเตือนภัยต่อประชาชนทั่วไปถึงอันตรายจากรังสี เพราะย้อนกลับไปเมื่อ 77 ปีก่อน การใช้งานสารกัมมันตรังสียังไม่แพร่หลายเหมือนในปัจจุบัน
ในหนังสือเรื่อง Brief History 20th Century Danger Sign ที่เขียนโดย ลอยด์ ดี. สตีเวนว์ (Lloyd D. Stephens) และ โรสแมรี แบรร์เร็ตต์ (Rosemary Barrett) อธิบายถึงที่มาของต้นกำเนิดโลโก้เตือนรังสีแบบใบพัดสามแฉกนี้ว่า ย้อนไปในปี 1946 หลังสหรัฐอเมริกาชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 จากเหตุระเบิดปรมานูที่ฮิโรชิมะ และนางาซากิ คณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูแห่งสหรัฐอเมริกา (AEC) เพิ่งจะมีการตระหนักว่าควรมีการออกแบบสัญลักษณ์เตือนอันตรายจากรังสี ในเวลานั้น เนลส์ การ์เดน (Nels Garden) หัวหน้ากลุ่มรังสีเคมีด้านการแพทย์ ประจำมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการดังกล่าว พร้อมกับทีมของเขา ช่วยกันลากเส้นที่ต้องการจะสื่อถึงสัญลักษณ์ของการแผ่รังสี
ในจดหมายที่เขียนโดย เนลส์ การ์เดน ต่อคณะกรรมาธิการ AEC ระบุว่า ทีมนักวิจัยหลายคนต่างพยายามหาแนวทางออกแบบสัญลักษณ์ที่สะท้อนการแผ่ของรังสี หลายคนในกลุ่มเสนอเหตุผลกันต่างๆ นานา และมีดีไซน์หนึ่งที่ดึงความสนใจของคนทั้งกลุ่มมากที่สุด นั่นคือภาพของสัญลักษณ์คล้ายใบพัดสามแฉกที่มีวงกลมอยู่ตรงกลาง
วงกลมตรงกลางเสมือนกับอะตอม ขณะที่ใบพัดสามแฉกเหมือนกับรังสีที่แผ่ออกมาจากอะตอมตรงกลาง ใบพัดทั้งสามสะท้อนถึงรังสีสามประเภท คือ แอลฟา เบตา และแกมมา ลักษณะที่เป็นใบพัด 3 แฉกเช่นนี้ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Trefoil

เหตุที่สัญลักษณ์ Trefoil ในแบบแรกใช้โลโก้สีม่วงบนพื้นสีน้ำเงิน การ์เดนได้เคยอธิบายไว้ว่า เพราะสีม่วงเป็นสีที่โดดเด่นและไม่ขัดแย้งกับรหัสสีใดๆ ที่เราคุ้นเคย อีกปัจจัยหนึ่งคือราคาของมัน เพราะในยุคนั้นการพิมพ์ด้วยสีม่วงมีราคาสูง ทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครที่สร้างสัญลักษณ์เลียนแบบขึ้นมา ส่วนพื้นหลังสีน้ำเงินนั้นเพราะ มีการใช้สีฟ้าน้อยมากในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่มีงานกัมมันตภาพรังสี
ดร. แมคเคนซี อธิบายว่า ในยุคนั้นการใช้สารกัมมันตรังสียังแพร่หลายไม่มากนัก ส่วนใหญ่อยู่ในเฉพาะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ หรือไม่ก็ห้องทดลองของรัฐบาล นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในการออกแบบโลโก้แบบ Trefoil นี้จึงไม่ได้ตั้งใจให้ถูกออกแบบมาเพื่อ "เตือน" ประชาชนทั่วไปให้ระวังถึงภัยของกัมมันตรังสี
ย้อนกลับมาที่โลโก้ใบพัดสีม่วงบนพื้นหลังสีน้ำเงิน หลังคณะกรรมาธิการ AEC ตีพิมพ์โลโก้นี้ มันก็เริ่มถูกใช้ในหน่วยงานที่อยู่ภายใต้สังกัดของ AEC ทว่าในเวลานั้น บรรดานักวิทยาศาสตร์กลับรู้สึกว่าพื้นหลังสีน้ำเงินเป็นตัวเลือกที่แย่ ซ้ำร้ายเมื่อนำมาใช้งานจริงในป้ายที่อยู่กลางแจ้ง สีน้ำเงินจะถูกแสงแดดแผดเผาจนสีจางลงอย่างรวดเร็ว
ดร. แมคเคนซี อธิบายว่า ในยุคนั้นการใช้สารกัมมันตรังสียังแพร่หลายไม่มากนัก ส่วนใหญ่อยู่ในเฉพาะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ หรือไม่ก็ห้องทดลองของรัฐบาล นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในการออกแบบโลโก้แบบ Trefoil นี้จึงไม่ได้ตั้งใจให้ถูกออกแบบมาเพื่อ "เตือน" ประชาชนทั่วไปให้ระวังถึงภัยของกัมมันตรังสี
ย้อนกลับมาที่โลโก้ใบพัดสีม่วงบนพื้นหลังสีน้ำเงิน หลังคณะกรรมาธิการ AEC ตีพิมพ์โลโก้นี้ มันก็เริ่มถูกใช้ในหน่วยงานที่อยู่ภายใต้สังกัดของ AEC ทว่าในเวลานั้น บรรดานักวิทยาศาสตร์กลับรู้สึกว่าพื้นหลังสีน้ำเงินเป็นตัวเลือกที่แย่ ซ้ำร้ายเมื่อนำมาใช้งานจริงในป้ายที่อยู่กลางแจ้ง สีน้ำเงินจะถูกแสงแดดแผดเผาจนสีจางลงอย่างรวดเร็ว
พัฒนาการป้ายเตือนรังสีจากแบบแรกจนถึงปัจจุบัน

กระทั่งปี 1948 นักวิจัยจากสถาบันแล็ปแห่งชาติโอคริดจ์ (Oak Ridge National Laboratory) ได้รับมอบหมายให้ดีไซน์ป้ายใหม่โดยใช้สีที่มีความเหมาะสม ในเวลานั้น บิลล์ เรย์ (Bill Ray) และจอร์จ วอร์ลิก (George Warlick) ซึ่งทำงานให้ห้องทดลองดังกล่าวมองว่าควรใช้ป้ายสีอื่นที่มีความเหมาะสมกว่านี้ เรย์จึงขับรถไปที่มหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ และหยิบป้ายเตือนดังกล่าวมาชุดหนึ่งจากห้องทดลองของเนลส์ การ์เดน กลับไปที่สถาบันแล็ปแห่งชาติโอคริดจ์ โดยทั้งเรย์ และวอร์ลิก ได้ทำการทดลองด้วยการตัดกราฟิกดังที่เป็นสัญลักษณ์สีม่วงออก แล้วเย็บมันลงบนพื้นหลังที่มีหลากหลายเฉดสีที่ต่างกัน เพื่อทดลองดูว่าสีใดเหมาะสม หากมันตั้งอยู่กลางแจ้งในระยะที่ 20 ฟุต จนท้ายที่สุดทางทีมได้เสนอให้เลือกสัญลักษณ์โลโก้สีม่วงบนพื้นหลังสีเหลืองเป็นป้ายที่มีเฉดโดดเด่นที่สุด
ช่วงกลางยุค 1950 รูปแบบดีไซน์สัญลักษณ์เตือนรังสีนี้ได้รับการ "รีดีไซน์" อีกครั้งโดย ANSI หรือ สถาบันมาตรฐานแห่งชาติอเมริกัน (American National Standards Institute) ที่ออกข้อกำหนดให้ป้ายสัญลักษณ์คำเตือนต่างๆ ต้องมีโลโก้ที่เป็นสีดำเข้มเพื่อความเด่นชัด เข้าใจง่าย และสามารถจัดกลุ่มได้ง่าย สัญลักษณ์ของเตือนภัยรังสีนิวเคลียร์ในรูปแบบโลโก้สีดำบนพื้นหลังสีเหลือง จึงถูกใช้แพร่หลายจนถึงปัจจุบันแม้เวลาผ่านมา 77 ปีนับตั้งแต่ดีไซน์แรกถูกนำเสนอโดยทีมของนีลส์ การ์เดน
ช่วงกลางยุค 1950 รูปแบบดีไซน์สัญลักษณ์เตือนรังสีนี้ได้รับการ "รีดีไซน์" อีกครั้งโดย ANSI หรือ สถาบันมาตรฐานแห่งชาติอเมริกัน (American National Standards Institute) ที่ออกข้อกำหนดให้ป้ายสัญลักษณ์คำเตือนต่างๆ ต้องมีโลโก้ที่เป็นสีดำเข้มเพื่อความเด่นชัด เข้าใจง่าย และสามารถจัดกลุ่มได้ง่าย สัญลักษณ์ของเตือนภัยรังสีนิวเคลียร์ในรูปแบบโลโก้สีดำบนพื้นหลังสีเหลือง จึงถูกใช้แพร่หลายจนถึงปัจจุบันแม้เวลาผ่านมา 77 ปีนับตั้งแต่ดีไซน์แรกถูกนำเสนอโดยทีมของนีลส์ การ์เดน

ป้ายใหม่เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น
ข้อมูลจาก IAEA ระบุว่า หนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้ IAEA ทบทวนถึงความเหมาะสมของป้ายเตือนแบบใบพัดสามแฉกคือ เหตุการณ์ 'โคบอลต์-60' ที่เคยเป็นข่าวดังในไทยเมื่อปี 2000 แม้วัตถุดังกล่าวจะมีป้ายเตือนรังสีแบบสามใบพัด แต่นายอรุณ พ่อค้าของเก่าในจังหวัดสมุทรปราการ ไม่อาจเข้าใจในป้ายเตือนอันตรายของสารรังสีปี 2007 ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ได้เปิดตัวป้ายเตือนกัมมันตรังสีในรูปแบบใหม่ เพื่อหวังใช้แทนทีดีไซน์จากปี 1946 หลังจากพบว่าตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่มีการใช้ป้ายดีไซน์ดังกล่าว หลายครั้งสาธารณชนทั่วไปเข้าใจผิดว่ามันเป็นป้ายใบพัดบ้าง กังหันบ้าง ประกอบกับในบางวัฒนธรรมบางประเทศ อาจตีความสัญลักษณ์แบบ Trefoil ให้เข้าใจผิด
IAEA และองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (ISO) จึงได้ร่วมกันออกแบบสัญลักษณ์เตือนแบบใหม่ เพื่อหวังช่วยลดการเสียชีวิตโดยไม่จำเป็นและการบาดเจ็บสาหัสจากการสัมผัสกับแหล่งกำเนิดกัมมันตภาพรังสีขนาดใหญ่โดยไม่ได้ตั้งใจ
ดีไซน์ของโลโก้ใหม่จะเป็นพื้นหลังสีดีในป้ายรูปทรงสามเหลี่ยม ที่ด้านบนยังคงเป็นรูปโลโก้รังสีแบบเดิม แต่ด้านล่างมีสัญลักษณ์กระโหลกไขว้ และเตือนให้ออกห่าง ซึ่งคนทั่วไปในทุกวัฒนธรรมสามารถตีความหมายได้โดยสัญชาติญาณ
จากการทดสอบของ IAEA ตลอดเวลา 5 ปีจากใน 11 ประเทศ ในบราซิล เม็กซิโก โมร็อกโก เคนยา ซาอุดีอาระเบีย จีน อินเดีย ไทย โปแลนด์ ยูเครน และสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางกลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงในช่วงวัยต่างๆ ตลอดจนภูมิหลังด้านการศึกษาจำนวน 1,650 คน ต่างเข้าใจว่าข้อความของป้ายนี้ต้องการสื่อถึง "วัตถุอันตรายที่ต้องอยู่ให้ห่าง"
ดร. แมคเคนซี ระบุว่า "IAEA ไม่อาจสอนให้คนทั้งโลกเข้าใจเรื่องกัมมันตรังสีได้ แต่สิ่งที่ IAEA ทำได้คือความพยายามในการเตือนผู้คนถึงอัตรายด้วยป้ายสติ๊กเกอร์เพียงไม่กี่ชิ้น"
สำหรับเนลส์ แม้เข้าจะไม่ปรากฏตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการสร้างมาตรฐานสัญลักษณ์เตือนรังสี แต่การสร้างสรรค์จากทีมนักเคมีของเขาเป็นเพียงหนึ่งในมรดกมากมายที่เขาทิ้งไว้ และเครื่องหมายนี้ยังคงทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจอย่างต่อเนื่องถึงความสำคัญของการใช้ความระมัดระวังเมื่อทำงานกับวัสดุกัมมันตภาพรังสีที่เราทุกคนต้องตระหนักและเข้าใจ