‘คิมจองอึน’ ลั่น ‘รวมชาติเกาหลีเหนือ-ใต้’ เป็นไปไม่ได้แล้ว! พร้อมยุบ 3 องค์กรรวมชาติ

17 มกราคม 2567 - 05:00

nkorea-kim-jong-un-abandons-unification-goal-with-south-SPACEBAR-Hero.jpg
  • ผู้นำเกาหลีเหนือ คิมจองอึน กล่าวว่า การรวมชาติกับเกาหลีใต้เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น

ผู้นำเกาหลีเหนือ คิมจองอึน กล่าวว่า การรวมชาติกับเกาหลีใต้ ‘เป็นไปไม่ได้’ อีกต่อไป และควรเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเพื่อกำหนดให้เกาหลีใต้เป็น ‘ศัตรูหลัก’ โดยองค์กร 3 แห่งที่เกี่ยวข้องกับการรวมประเทศจะปิดตัวลง  

ด้านประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ยุนซอกยอล กล่าวว่า จะตอบโต้ให้แรงขึ้นอีกหลายเท่าต่อการยั่วยุของเกาหลีเหนือ  

เกาหลีถูกแบ่งเป็น 2 ซีก ตั้งแต่สงครามเกาหลีสิ้นสุดลงในปี 1953 และพวกเขาไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ ดังนั้นในทางเทคนิคแล้ว 2 ประเทศนี้ยังคงอยู่ในภาวะสงครามนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 

ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่รัฐสภาตรายางของเกาหลีเหนือ คิม กล่าวว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ความรู้แก่ชาวเกาหลีเหนือว่าเกาหลีใต้เป็นศัตรูหลักและศัตรูหลักที่ไม่เปลี่ยนแปลง 

นอกจากนี้คิมยังกล่าวด้วยว่า หากเกิดสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี รัฐธรรมนูญของประเทศควรสะท้อนถึงประเด็นการยึดครอง การยึดคืน และการรวมเกาหลีใต้เข้ากับดินแดนเหนือ อย่างไรก็ตาม เกาหลีเหนือไม่ต้องการสงคราม แต่เราก็ไม่หนีถ้าเกิดสงครามเช่นกัน  

คิมกล่าวว่า เขากำลังใช้จุดยืนใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ซึ่งรวมถึงการรื้อองค์กรทั้งหมดที่ทำหน้าที่รวมประเทศ 

ขณะที่ยุนให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคาร (16 ม.ค.) ที่ผ่านมาว่า หากเกาหลีเหนือดำเนินการยั่วยุ เกาหลีใต้จะตอบโต้แรงกว่าหลายเท่า และชี้ไปที่ความสามารถของกองทัพเกาหลีใต้ที่มีอยู่อย่างท่วมท้น 

จอห์น นิลส์สัน-ไรท์ หัวหน้าโครงการญี่ปุ่นและเกาหลีที่ศูนย์ภูมิรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ กล่าวถึงคำพูดของคิมว่าเป็นสิ่งที่ ‘ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน’ และเป็นเรื่อง ‘ผิดปกติอย่างยิ่ง’ ที่ผู้นำเกาหลีเหนือจะละทิ้งนโยบายการรวมชาติ 

“ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความสัมพันธ์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้จะเย็นลง แต่สิ่งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ไปในทิศทางที่แตกต่างออกไป” นิลส์สัน-ไรท์กล่าวกับ BBC พร้อมเสริมว่า จุดยืนต่อต้านตะวันตกของคิมมีมาตั้งแต่การประชุมสุดยอดในปี 2019 ที่เวียดนามกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ  

-ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น-

ความเห็นของคิมมีขึ้นขณะที่ความสัมพันธ์บนคาบสมุทรเกาหลีอ่อนแอลงอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ในเดือนพฤศจิกายนเกาหลีเหนือระงับข้อตกลงทางทหารระยะเวลา 5 ปี กับเกาหลีใต้โดยสมบูรณ์ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความตึงเครียดทางทหาร ขณะที่เกาหลีใต้ได้ระงับข้อตกลงบางส่วนก่อนหน้านี้ หลังจากที่คิมอ้างว่า ประสบความสำเร็จในการปล่อยดาวเทียมสอดแนมไปบนอวกาศ 

วาทกรรมและการกระทำที่ยั่วยุจากทางเกาหลีเหนือก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 

ในการประชุมนโยบายสิ้นปี คิมกล่าวว่า เขาจำเป็นต้องกำหนดจุดยืนของเกาหลีเหนือต่อความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีและนโยบายการรวมประเทศใหม่ โดยเป้าหมายที่ระบุไว้คือทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายขั้นเด็ดขาดที่เกี่ยวข้องกับศัตรู 

นอกจากนี้คิมยังขู่ด้วยว่าจะโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ในเกาหลีใต้ รวมถึงเรียกร้องเกาหลีเหนือให้มีการสะสมคลังแสง และเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเกาหลีเหนือยังได้เปิดตัวขีปนาวุธ และมีการซ้อมรบด้วยกระสุนจริงใกล้กับดินแดนเกาหลีใต้ด้วย 

ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดย 38 North (องค์กรที่มีฐานอยู่ในสหรัฐฯ) ซึ่งจับตาความเป็นไปของเกาหลีเหนือ อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ โรเบิร์ต คาร์ลิน และนักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ ซีกฟรีด เอส เฮคเกอร์ กล่าวว่า พวกเขามองว่าสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีอันตรายกว่าที่เป็นอยู่ นับตั้งแต่เริ่มสงครามเกาหลีในปี 1950 

“นั่นอาจฟังดูเกินจริง แต่เราเชื่อว่า คิมจองอึน ได้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในการทำสงครามเช่นเดียวกับปู่ของเขาในปี 1950 เราไม่รู้ว่าแผนที่คิมวางไว้จะเริ่มเมื่อใดหรืออย่างไร แต่อันตรายนั้นอยู่นอกเหนือคำเตือนตามปกติในสหรัฐฯ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เกี่ยวกับการยั่วยุของเกาหลีเหนือแล้ว” คำแถลงระบุ 

 นิลส์สัน-ไรท์เห็นด้วยกับคำแถลงดังกล่าวพร้อมบอกด้วยว่า ควรคำนึงถึงความเสี่ยงที่จะบานปลายอย่างจริงจัง 

ขณะเดียวกัน โชซอนฮุย รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือในรัสเซียจะเข้าพบประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน โดยเมื่อไม่นานมานี้ ทั้ง 2 ประเทศได้กระชับความสัมพันธ์ ซึ่งเป็น 2 ประเทศที่แยกตัวออกจากตะวันตก และเมื่อกันยายนปีที่แล้ว คิมได้เดินทางไปเยือนรัสเซียและได้เข้าพบปูตินด้วย

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์