เกาหลีเหนือที่ขะมักเขม้นกับการทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามทวีปทั้งพิสัยไกล พิสัยใกล้ มีเรื่องปวดหัวเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ทั้งเงินจริงและเงินคริปโทฯ เริ่มจากล่าสุด ที่ยึดเงินดอลลาร์กับเงินหยวน หลังประกาศให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินผิดกฎหมาย สร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่ประชาชนที่จำต้องทนใช้เงินวอนเกาหลีเหนือที่อยู่ในสภาพที่เก่าและชำรุดมากๆ
เกาหลีเหนือประกาศห้ามใช้เงินสกุลต่างประเทศอย่างเด็ดขาด และเริ่มไล่ยึดเงินหยวนกับดอลลาร์สหรัฐจากประชาชน ด้วยการดักค้นตัวประชาชนตามถนน แถมยังสั่งให้พลเมืองเกาหลีเหนือทุกคนเอาเงินสกุลต่างประเทศไปแลกกับเงินวอนของเกาหลีเหนือ สวนทางกับความต้องการของพลเมืองที่ยังอยากถือครองเงินหยวนและดอลลาร์สหรัฐเพราะคิดว่ามีเสถียรภาพมากกว่า
ภาวะเงินเฟ้อในช่วงทศวรรษที่ 1990 กับ 2000 กลายเป็นสถานการณ์เลวร้ายสำหรับเกาหลีเหนือ เมื่อปี 2009 รัฐบาลเกาหลีเหนือประกาศลดค่าเงินด้วยการตัดศูนย์ออก 2 ตัว เช่น เปลี่ยนธนบัตรมูลค่า 1,000 วอน เป็นมูลค่า 10 วอน เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อและการเก็งกำไรค่าเงินในตลาดมืด ซึ่งเป็นการปรับค่าเงินครั้งแรกในรอบ 17 ปี พร้อมทั้งอนุญาตให้ประชาชนนำธนบัตร 1,000 วอน ไปแลกได้ แต่ทำให้เงินที่เก็บออมมาชั่วชีวิตหายไปในพริบตา
ขณะที่นโยบายใหม่บ่งชี้ว่า ทางการกำลังรวบรวมเงินตราต่างประเทศ เพื่อเตรียมสำหรับการเริ่มต้นการค้ากับจีนใหม่ทั้งหมด ซึ่งถูกระงับตั้งแต่ตอนที่เริ่มต้นการระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2020 ที่เพิ่งกลับมาฟื้นตัวอย่างจำกัดในปี 2025 ทำให้รัฐบาลต้องยึดเงินตราต่างประเทศจากพลเมือง เพื่อให้มีหลักประกันเพียงพอเมื่อกลับมาทำการค้ากับจีนเต็มตัวอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ในปลายปีนี้ แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะไม่มีทางยึดเงินสกุลต่างประเทศจากพลเมืองได้ทั้งหมด ถ้าประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ
แหล่งข่าวคนหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อบอกว่า พลเมืองที่ถือครองสกุลเงินต่างประเทศ ต้องนำไปแลกกับสกุลเงินวอนในประเทศตามตลาดหรือไม่ก็ตามร้านค้า ส่วนคนที่ไม่ยอมทำตาม อาจถูกสุ่มตรวจหรือค้นตัวจากตำรวจ และถ้าตำรวจค้นเจอจะไม่ใช่แค่ยึดเงินนั้น แต่จะถูกสอบสวนเกี่ยวกับรายละเอียดว่าไปเอามาจากไหน และนำไปใช้จ่ายอย่างไร
ฟังดูแล้วถือเป็นสถานการณ์ที่เสี่ยงมากๆ แต่ก็เชื่อว่าหลายคนจะยอมทำตาม เพราะเงินมูลค่า 100 หยวน มีมูลค่าสูงราว 120,000 วอน
นอกจากปัญหาเรื่องเงินวอนแล้ว เกาหลีเหนือยังมีปัญหาเรื่องเงินคริปโทฯ ด้วย ล่าสุดบรรดาผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เกาหลีเหนือกำลังใช้ประโยชน์จากตลาดเงินดิจิทัล หรือเงินคริปโทฯ ที่ขาดการควบคุม ด้วยการขโมยสกุลเงินดิจิทัลมาใช้เป็นแหล่งทุนให้แก่โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ
รายงานที่เสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ระบุถึงข้อมูลจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือ ที่ระบุว่า เกาหลีเหนือขโมยทรัพย์สินออนไลน์มูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์ ในช่วงปี 2019-2020
รายงานชิ้นนี้ระบุว่า คณะกรรมการดังกล่าวประมาณการว่า เมื่อปี 2019 นักจารกรรมไซเบอร์ของเกาหลีเหนือขโมยทรัพย์สินประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่ารวมถึงเงินคริปโทฯ และทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาอาวุธของรัฐบาล ทำให้เกาหลีเหนือเพิ่มการทดสอบขีปนาวุธเมื่อไม่นานมานี้ และเมื่อเดือนที่แล้ว เกาหลีเหนือทดลองยิงขีปนาวุธไปแล้วถึง 11 ครั้ง
Investopedia เว็บไซต์การเงิน ระบุว่า เงินคริปโทฯ เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกปลอมแปลงได้ง่ายและมักจะไม่ออกมาโดยหน่วยงานกลางใดๆ จึงทำให้สกุลเงินนี้ไม่สามารถถูกรัฐบาลแทรกแซงได้และทำให้การโอนเงินมีค่าใช้จ่ายถูกลงและรวดเร็วขึ้น
เว็บไซต์นี้ ยังระบุด้วยว่า เงินคริปโทฯ ยังถูกแปลงเป็นเงินตรา ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ออกโดยรัฐบาล ที่ไม่ได้อิงกับสิ่งของทางกายภาพ เช่นเงินหรือทอง แต่อิงจากรัฐบาลที่ป็นผู้ออกสกุลเงินนั้นๆ
ปัจจุบัน หลายประเทศยังไม่มีหน่วยงานกลางใดที่ควบคุมเงินคริปโทฯ รวมทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ แตกต่างจากสกุลเงินดอลลาร์และสกุลเงินอื่นๆ ที่ถูกกำกับดูแลโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ
“เจสัน บาร์เล็ตต์” นักวิจัยของศูนย์ Center for a New American Security (ซีเอ็นเอเอส) กล่าวว่า รัฐบาลต่างๆ สถาบันการเงิน และองค์กรระหว่างประเทศ ยังไม่สามารถกำกับดูแลและยังขาดความรู้ความเข้าใจในเงินคริปโทฯ จึงเปิดช่องให้เกาหลีเหนือใช้ประโยชน์จากเงินคริปโทฯ ได้
ส่วน แมทธิว ฮา นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยความมั่นคง Valens Global ให้ความเห็นว่า การขาดการกำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินคริปโทฯ ทำให้เกาหลีเหนือเลือกเจาะระบบตลาดแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล มากกว่าเจาะตลาดแลกเปลี่ยนของสถาบันการเงินที่มีการกำกับดูแลและมีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนากว่า
เมื่อปี 2016 เกาหลีเหนือเคยพยายามจารกรรมทรัพย์สินมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารกลางบังกลาเทศด้วย
ด้าน Chainanlysis บริษัทความปลอดภัยด้านไซเบอร์ ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2017 มีการเจาะข้อมูลของเงินคริปโทฯ และการขโมยเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งปีดังกล่าวเป็นปีที่ยูเอ็นออกมาตรการลงโทษหลายอย่างต่อเกาหลีเหนือ
เกาหลีเหนือประกาศห้ามใช้เงินสกุลต่างประเทศอย่างเด็ดขาด และเริ่มไล่ยึดเงินหยวนกับดอลลาร์สหรัฐจากประชาชน ด้วยการดักค้นตัวประชาชนตามถนน แถมยังสั่งให้พลเมืองเกาหลีเหนือทุกคนเอาเงินสกุลต่างประเทศไปแลกกับเงินวอนของเกาหลีเหนือ สวนทางกับความต้องการของพลเมืองที่ยังอยากถือครองเงินหยวนและดอลลาร์สหรัฐเพราะคิดว่ามีเสถียรภาพมากกว่า
ภาวะเงินเฟ้อในช่วงทศวรรษที่ 1990 กับ 2000 กลายเป็นสถานการณ์เลวร้ายสำหรับเกาหลีเหนือ เมื่อปี 2009 รัฐบาลเกาหลีเหนือประกาศลดค่าเงินด้วยการตัดศูนย์ออก 2 ตัว เช่น เปลี่ยนธนบัตรมูลค่า 1,000 วอน เป็นมูลค่า 10 วอน เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อและการเก็งกำไรค่าเงินในตลาดมืด ซึ่งเป็นการปรับค่าเงินครั้งแรกในรอบ 17 ปี พร้อมทั้งอนุญาตให้ประชาชนนำธนบัตร 1,000 วอน ไปแลกได้ แต่ทำให้เงินที่เก็บออมมาชั่วชีวิตหายไปในพริบตา
ขณะที่นโยบายใหม่บ่งชี้ว่า ทางการกำลังรวบรวมเงินตราต่างประเทศ เพื่อเตรียมสำหรับการเริ่มต้นการค้ากับจีนใหม่ทั้งหมด ซึ่งถูกระงับตั้งแต่ตอนที่เริ่มต้นการระบาดของโควิด-19 เมื่อปี 2020 ที่เพิ่งกลับมาฟื้นตัวอย่างจำกัดในปี 2025 ทำให้รัฐบาลต้องยึดเงินตราต่างประเทศจากพลเมือง เพื่อให้มีหลักประกันเพียงพอเมื่อกลับมาทำการค้ากับจีนเต็มตัวอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นไปได้ในปลายปีนี้ แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะไม่มีทางยึดเงินสกุลต่างประเทศจากพลเมืองได้ทั้งหมด ถ้าประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ
แหล่งข่าวคนหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อบอกว่า พลเมืองที่ถือครองสกุลเงินต่างประเทศ ต้องนำไปแลกกับสกุลเงินวอนในประเทศตามตลาดหรือไม่ก็ตามร้านค้า ส่วนคนที่ไม่ยอมทำตาม อาจถูกสุ่มตรวจหรือค้นตัวจากตำรวจ และถ้าตำรวจค้นเจอจะไม่ใช่แค่ยึดเงินนั้น แต่จะถูกสอบสวนเกี่ยวกับรายละเอียดว่าไปเอามาจากไหน และนำไปใช้จ่ายอย่างไร
ฟังดูแล้วถือเป็นสถานการณ์ที่เสี่ยงมากๆ แต่ก็เชื่อว่าหลายคนจะยอมทำตาม เพราะเงินมูลค่า 100 หยวน มีมูลค่าสูงราว 120,000 วอน
นอกจากปัญหาเรื่องเงินวอนแล้ว เกาหลีเหนือยังมีปัญหาเรื่องเงินคริปโทฯ ด้วย ล่าสุดบรรดาผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เกาหลีเหนือกำลังใช้ประโยชน์จากตลาดเงินดิจิทัล หรือเงินคริปโทฯ ที่ขาดการควบคุม ด้วยการขโมยสกุลเงินดิจิทัลมาใช้เป็นแหล่งทุนให้แก่โครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ
รายงานที่เสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ระบุถึงข้อมูลจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือ ที่ระบุว่า เกาหลีเหนือขโมยทรัพย์สินออนไลน์มูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์ ในช่วงปี 2019-2020
รายงานชิ้นนี้ระบุว่า คณะกรรมการดังกล่าวประมาณการว่า เมื่อปี 2019 นักจารกรรมไซเบอร์ของเกาหลีเหนือขโมยทรัพย์สินประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่ารวมถึงเงินคริปโทฯ และทรัพย์สินอื่นๆ เพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาอาวุธของรัฐบาล ทำให้เกาหลีเหนือเพิ่มการทดสอบขีปนาวุธเมื่อไม่นานมานี้ และเมื่อเดือนที่แล้ว เกาหลีเหนือทดลองยิงขีปนาวุธไปแล้วถึง 11 ครั้ง
Investopedia เว็บไซต์การเงิน ระบุว่า เงินคริปโทฯ เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกปลอมแปลงได้ง่ายและมักจะไม่ออกมาโดยหน่วยงานกลางใดๆ จึงทำให้สกุลเงินนี้ไม่สามารถถูกรัฐบาลแทรกแซงได้และทำให้การโอนเงินมีค่าใช้จ่ายถูกลงและรวดเร็วขึ้น
เว็บไซต์นี้ ยังระบุด้วยว่า เงินคริปโทฯ ยังถูกแปลงเป็นเงินตรา ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ออกโดยรัฐบาล ที่ไม่ได้อิงกับสิ่งของทางกายภาพ เช่นเงินหรือทอง แต่อิงจากรัฐบาลที่ป็นผู้ออกสกุลเงินนั้นๆ
ปัจจุบัน หลายประเทศยังไม่มีหน่วยงานกลางใดที่ควบคุมเงินคริปโทฯ รวมทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ แตกต่างจากสกุลเงินดอลลาร์และสกุลเงินอื่นๆ ที่ถูกกำกับดูแลโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ
“เจสัน บาร์เล็ตต์” นักวิจัยของศูนย์ Center for a New American Security (ซีเอ็นเอเอส) กล่าวว่า รัฐบาลต่างๆ สถาบันการเงิน และองค์กรระหว่างประเทศ ยังไม่สามารถกำกับดูแลและยังขาดความรู้ความเข้าใจในเงินคริปโทฯ จึงเปิดช่องให้เกาหลีเหนือใช้ประโยชน์จากเงินคริปโทฯ ได้
ส่วน แมทธิว ฮา นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยความมั่นคง Valens Global ให้ความเห็นว่า การขาดการกำกับดูแลการแลกเปลี่ยนเงินคริปโทฯ ทำให้เกาหลีเหนือเลือกเจาะระบบตลาดแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล มากกว่าเจาะตลาดแลกเปลี่ยนของสถาบันการเงินที่มีการกำกับดูแลและมีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนากว่า
เมื่อปี 2016 เกาหลีเหนือเคยพยายามจารกรรมทรัพย์สินมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากธนาคารกลางบังกลาเทศด้วย
ด้าน Chainanlysis บริษัทความปลอดภัยด้านไซเบอร์ ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2017 มีการเจาะข้อมูลของเงินคริปโทฯ และการขโมยเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งปีดังกล่าวเป็นปีที่ยูเอ็นออกมาตรการลงโทษหลายอย่างต่อเกาหลีเหนือ