ช่วงนี้สถานการณ์การเมืองโลกมีเรื่องตื่นเต้นให้ติดตามหลายภูมิภาค ตั้งแต่ความเคลื่อนไหวของสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่จะครบ 1 ปีในวันที่ 24 ก.พ.นี้ จนถึงสถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ที่มีเรื่องให้ลุ้นทุกวันว่าวันนี้เกาหลีเหนือจะทดสอบขีปนาวุธกี่ลูกและเป็นขีปนาวุธที่มีพิสัยการยิงไกลแค่ไหน
ล่าสุด สมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้ อ้างข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองซึ่งเตือนว่า เกาหลีเหนืออาจทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ICBM) ในวิถีที่มีความโค้งน้อยลงและโจมตีเป้าหมายได้ไกลกว่าเดิม รวมถึงทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 7 ภายในปีนี้ เพื่อปรับปรุงศักยภาพของระบบอาวุธให้อยู่ขั้นสมบูรณ์แบบ
สมาชิกสภาเกาหลีใต้ ซึ่งเข้าประชุมร่วมกับหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (เอ็นไอเอส) บอกว่า ที่ผ่านมาเกาหลีเหนือยิงทดสอบ ICBM ด้วยวิถีโค้ง ซึ่งทำให้ขีปนาวุธพุ่งสู่ชั้นบรรยากาศระดับสูง และตกลงสู่เป้าหมายไม่ไกลจากจุดที่ยิง แต่ตอนนี้เกาหลีเหนือมีศักยภาพเพียงพอที่จะควบคุมการยิงในองศาปกติ นั่นหมายความว่าสามารถส่งขีปนาวุธไปทำลายเป้าหมายซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตรได้
สมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้กลุ่มนี้ระบุถึงความเป็นไปได้ที่เกาหลีเหนือจะตัดสินใจทดสอบ ICBM ในองศาปกติ เพื่อเพิ่มแรงกดดันต่อสหรัฐฯ ซึ่งมีแผนจะจัดซ้อมรบใหญ่ร่วมกับเกาหลีใต้อีกในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
เมื่อวันเสาร์ (18 ก.พ.) เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธ ICBM รุ่น “ฮวาซอง-15” แล้วต่อด้วยขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยใกล้อีก 2 ลูกในเช้าวันจันทร์ (20 ก.พ.) ขณะที่ คิมยอจอง น้องสาวของคิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ขู่ว่าจะเปลี่ยนมหาสมุทรแปซิฟิกให้กลายเป็นสนามซ้อมยิง โดยขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของสหรัฐฯ ว่าจะคุกคามเกาหลีเหนือมากน้อยแค่ไหน
แต่หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ก็เชื่อว่าเกาหลีเหนือไม่น่าจะมีเทคโนโลยีก้าวหน้าพอที่จะนำหัวรบนิวเคลียร์มาใช้กับแท่นยิงขีปนาวุธหลายลำกล้อง
“การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 7 มีความเป็นไปได้สูง และถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ย่อส่วนที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา” เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเกาหลีใต้รายหนึ่งให้ความเห็น
การทดสอบขีปนาวุธแบบถี่ยิบของเกาหลีเหนือ สร้างความกังวลแก่ประชาคมโลก แม้แต่ อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก็ออกมาประณามการยิง ICBM ครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ พร้อมทั้งเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติพฤติกรรมยั่วยุและปฏิบัติตามคำสั่งห้ามของคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น เพื่อหวนคืนสู่การเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็ถูกสวนกลับจากกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือว่ายูเอ็นไม่ยุติธรรม และไม่วางตัวเป็นกลาง
ล่าสุด สมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้ อ้างข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองซึ่งเตือนว่า เกาหลีเหนืออาจทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ICBM) ในวิถีที่มีความโค้งน้อยลงและโจมตีเป้าหมายได้ไกลกว่าเดิม รวมถึงทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 7 ภายในปีนี้ เพื่อปรับปรุงศักยภาพของระบบอาวุธให้อยู่ขั้นสมบูรณ์แบบ
สมาชิกสภาเกาหลีใต้ ซึ่งเข้าประชุมร่วมกับหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (เอ็นไอเอส) บอกว่า ที่ผ่านมาเกาหลีเหนือยิงทดสอบ ICBM ด้วยวิถีโค้ง ซึ่งทำให้ขีปนาวุธพุ่งสู่ชั้นบรรยากาศระดับสูง และตกลงสู่เป้าหมายไม่ไกลจากจุดที่ยิง แต่ตอนนี้เกาหลีเหนือมีศักยภาพเพียงพอที่จะควบคุมการยิงในองศาปกติ นั่นหมายความว่าสามารถส่งขีปนาวุธไปทำลายเป้าหมายซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตรได้
สมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้กลุ่มนี้ระบุถึงความเป็นไปได้ที่เกาหลีเหนือจะตัดสินใจทดสอบ ICBM ในองศาปกติ เพื่อเพิ่มแรงกดดันต่อสหรัฐฯ ซึ่งมีแผนจะจัดซ้อมรบใหญ่ร่วมกับเกาหลีใต้อีกในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
เมื่อวันเสาร์ (18 ก.พ.) เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธ ICBM รุ่น “ฮวาซอง-15” แล้วต่อด้วยขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยใกล้อีก 2 ลูกในเช้าวันจันทร์ (20 ก.พ.) ขณะที่ คิมยอจอง น้องสาวของคิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ขู่ว่าจะเปลี่ยนมหาสมุทรแปซิฟิกให้กลายเป็นสนามซ้อมยิง โดยขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของสหรัฐฯ ว่าจะคุกคามเกาหลีเหนือมากน้อยแค่ไหน
แต่หน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ก็เชื่อว่าเกาหลีเหนือไม่น่าจะมีเทคโนโลยีก้าวหน้าพอที่จะนำหัวรบนิวเคลียร์มาใช้กับแท่นยิงขีปนาวุธหลายลำกล้อง
“การทดลองระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 7 มีความเป็นไปได้สูง และถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ย่อส่วนที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา” เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเกาหลีใต้รายหนึ่งให้ความเห็น
การทดสอบขีปนาวุธแบบถี่ยิบของเกาหลีเหนือ สร้างความกังวลแก่ประชาคมโลก แม้แต่ อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก็ออกมาประณามการยิง ICBM ครั้งล่าสุดของเกาหลีเหนือ พร้อมทั้งเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยุติพฤติกรรมยั่วยุและปฏิบัติตามคำสั่งห้ามของคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น เพื่อหวนคืนสู่การเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็ถูกสวนกลับจากกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือว่ายูเอ็นไม่ยุติธรรม และไม่วางตัวเป็นกลาง
คำเตือนเรื่องการทดสอบขีปนาวุธครั้งนี้มีขึ้นหลังจากรัฐบาลเกาหลีใต้เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อบุคคลและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาอาวุธของเกาหลีเหนือ และผู้นำพรรครัฐบาลเตือนเกาหลีใต้อาจต้องพิจารณาพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเอง หากเกาหลีเหนือยังคงยั่วยุทางทหารอย่างต่อเนื่อง
กระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้ ประกาศในวันจันทร์ (20 ก.พ.) ว่า เกาหลีใต้เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อบุคคล 4 ราย และองค์กร 5 ราย ซึ่งรวมถึงชาวแอฟริกาใต้ 1 ราย และบริษัทขนส่งทางเรือของสิงคโปร์ 2 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมมีขึ้นหลังจากเกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธพิสัยใกล้ 2 ลูกจากชายฝั่งภาคตะวันออกในวันเดียวกัน หลังจากเพิ่งยิงทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป ICBM รุ่นฮวาซอง-15 เมื่อวันเสาร์ ขณะที่เกาหลีใต้และสหรัฐฯ จัดการซ้อมรบทางอากาศ ที่มีเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-1บี ของสหรัฐฯ เข้าร่วมฝึกซ้อมด้วยเมื่อวันอาทิตย์ เพื่อตอบโต้ที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ ICBM ครั้งล่าสุด
นายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น กล่าวว่า ญี่ปุ่นจะเพิ่มความร่วมมือกับเกาหลีใต้และสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นเพื่อร่วมต่อต้านการยั่วยุของเกาหลีเหนือ และจะผลักดันให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เปิดการประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือเรื่องเกาหลีเหนือ
ด้าน ชุงจิน-ซุก หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (พีพีพี) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเกาหลีใต้ กล่าวในการประชุมพรรคในวันจันทร์ (20 ก.พ.) ว่า กระแสเรียกร้องให้เกาหลีใต้พิจารณาพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองจะได้รับการสนับสนุนมากยิ่งขึ้น หากเกาหลีเหนือยังคงกระทำการยั่วยุทางทหารต่อไป
ซุงย้ำว่า เกาหลีใต้ควรมีระบบป้องปรามนิวเคลียร์ที่เป็นรูปธรรม โดยต้องเสริมความเข้มแข็งของระบบการลงมือโจมตีก่อน เพื่อให้เกาหลีเหนือไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้อีก หากใช้อาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี และเกาหลีใต้จำเป็นต้องพิจารณาอย่างจริงจังเพื่อพัฒนาศักยภาพอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเอง หากการตอบโต้ด้วยระบบการลงมือโจมตีก่อนไม่ได้ผล
จะเห็นว่าความพยายามพัฒนาอาวุธของเกาหลีเหนือไม่เคยหยุดยั้งและไม่อ่อนแรงลงเลย ในทางตรงกันข้ามกลับเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ปัญหาในประเทศกำลังรอการแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาปากท้องประชาชน ที่ทำให้ประชาคมโลกอยากเข้าไปช่วยบรรเทาแต่แทบเป็นไปไม่ได้เพราะผู้นำไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
แถมล่าสุดหนังสือพิมพ์โรดองซินมุนของรัฐบาลเกาหลีเหนือได้เผยแพร่บทความเชิดชูการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ โดยบอกว่าความช่วยเหลือจากภายนอกไม่ต่างอะไรกับขนมอาบยาพิษ พร้อมทั้งเตือนถึงผลลัพธ์ของการรับความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจจากเหล่านักล่าอาณานิคม ที่ใช้ความช่วยเหลือเป็นกับดักปล้นชิงทรัพยากร และทำให้รัฐที่รับความช่วยเหลือต้องยอมถูกแทรกแซงกิจการภายใน
กระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้ ประกาศในวันจันทร์ (20 ก.พ.) ว่า เกาหลีใต้เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อบุคคล 4 ราย และองค์กร 5 ราย ซึ่งรวมถึงชาวแอฟริกาใต้ 1 ราย และบริษัทขนส่งทางเรือของสิงคโปร์ 2 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมมีขึ้นหลังจากเกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธพิสัยใกล้ 2 ลูกจากชายฝั่งภาคตะวันออกในวันเดียวกัน หลังจากเพิ่งยิงทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป ICBM รุ่นฮวาซอง-15 เมื่อวันเสาร์ ขณะที่เกาหลีใต้และสหรัฐฯ จัดการซ้อมรบทางอากาศ ที่มีเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-1บี ของสหรัฐฯ เข้าร่วมฝึกซ้อมด้วยเมื่อวันอาทิตย์ เพื่อตอบโต้ที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ ICBM ครั้งล่าสุด
นายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น กล่าวว่า ญี่ปุ่นจะเพิ่มความร่วมมือกับเกาหลีใต้และสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นเพื่อร่วมต่อต้านการยั่วยุของเกาหลีเหนือ และจะผลักดันให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เปิดการประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือเรื่องเกาหลีเหนือ
ด้าน ชุงจิน-ซุก หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (พีพีพี) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเกาหลีใต้ กล่าวในการประชุมพรรคในวันจันทร์ (20 ก.พ.) ว่า กระแสเรียกร้องให้เกาหลีใต้พิจารณาพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเองจะได้รับการสนับสนุนมากยิ่งขึ้น หากเกาหลีเหนือยังคงกระทำการยั่วยุทางทหารต่อไป
ซุงย้ำว่า เกาหลีใต้ควรมีระบบป้องปรามนิวเคลียร์ที่เป็นรูปธรรม โดยต้องเสริมความเข้มแข็งของระบบการลงมือโจมตีก่อน เพื่อให้เกาหลีเหนือไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้อีก หากใช้อาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี และเกาหลีใต้จำเป็นต้องพิจารณาอย่างจริงจังเพื่อพัฒนาศักยภาพอาวุธนิวเคลียร์ของตัวเอง หากการตอบโต้ด้วยระบบการลงมือโจมตีก่อนไม่ได้ผล
จะเห็นว่าความพยายามพัฒนาอาวุธของเกาหลีเหนือไม่เคยหยุดยั้งและไม่อ่อนแรงลงเลย ในทางตรงกันข้ามกลับเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ปัญหาในประเทศกำลังรอการแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาปากท้องประชาชน ที่ทำให้ประชาคมโลกอยากเข้าไปช่วยบรรเทาแต่แทบเป็นไปไม่ได้เพราะผู้นำไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
แถมล่าสุดหนังสือพิมพ์โรดองซินมุนของรัฐบาลเกาหลีเหนือได้เผยแพร่บทความเชิดชูการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ โดยบอกว่าความช่วยเหลือจากภายนอกไม่ต่างอะไรกับขนมอาบยาพิษ พร้อมทั้งเตือนถึงผลลัพธ์ของการรับความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจจากเหล่านักล่าอาณานิคม ที่ใช้ความช่วยเหลือเป็นกับดักปล้นชิงทรัพยากร และทำให้รัฐที่รับความช่วยเหลือต้องยอมถูกแทรกแซงกิจการภายใน
