มีอะไรอยู่เบื้องหลังอีก? ภัยคุกคามจากนิวเคลียร์ไม่ใช่ข้ออ้างเดียวที่อิสราเอลโจมตีอิหร่าน

15 มิ.ย. 2568 - 07:52

  •   การโจมตีของอิสราเอลวางแผนมาอย่างดี โจมตีเป้าหมายทางทหารและรัฐบาล และสังหารผู้นำทหารระดับสูงหลายคน รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์

  • การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นแม้จะมีการเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและพันธมิตรหลักของอิสราเอลอย่างสหรัฐฯ

มีอะไรอยู่เบื้องหลังอีก? ภัยคุกคามจากนิวเคลียร์ไม่ใช่ข้ออ้างเดียวที่อิสราเอลโจมตีอิหร่าน

อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านตามที่ส่งสัญญาณมานานแล้ว โดยนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวว่า อิสราเอลจะเดินหน้าโจมตีต่อไป “ตราบเท่าที่จำเป็น”

การโจมตีซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงเช้าของวันศุกร์ (13 มิ.ย.) ดูเหมือนว่าจะได้รับการวางแผนอย่างรอบคอบ โดยโจมตีเป้าหมายทางทหารและรัฐบาล และสังหารผู้นำทหารระดับสูงหลายคน รวมถึง ฮอสเซน ซาลามี หัวหน้ากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) และโมฮัมหมัด บาเกรี หัวหน้าเสนาธิการกองทัพ นอกจากนี้ ยังมีนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชื่อดังของอิหร่านเสียชีวิตด้วย

การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นแม้จะมีการเจรจาเรื่องโครงการนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและพันธมิตรหลักของอิสราเอลอย่างสหรัฐฯ ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่าความเคลื่อนไหวจากอิสราเอลนี้ เป็นแผนการประสานงานกันเพื่อกดดันอิหร่านอีกทางหนึ่ง

แล้วเหตุใดอิสราเอลจึงโจมตีอิหร่าน แน่นอนว่าพวกเขากังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามจากการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

แต่อิสราเอลยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่ง นั่นคือการวางรากฐานสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในอิหร่าน

การโจมตีอิหร่านของอิสราเอลเป็นเหตุการณ์ล่าสุดที่เชื่อมโยงกัน โดยมีสารตั้งต้นมาจากจากการโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2023 เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ค่อยๆ ทำให้อิหร่านอ่อนแอลง และอย่างน้อยก็ทำให้อิสราเอลมีอำนาจทางทหารมากขึ้นด้วย หากขาดเหตุการณ์เหล่านี้ไป ก็ยากที่จะมองเห็นว่าการโจมตีครั้งใหม่ที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านโดยตรงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาจะเป็นไปได้อย่างไร

ครั้งแรกคือการโจมตีของอิสราเอลในฉนวนกาซา การโจมตีครั้งนี้ทั้งนองเลือดและสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล ต้องสังเวยชีวิตของชาวปาเลสไตน์จำนวนมาก แต่ภายในไม่กี่สัปดาห์ ฮามาสก็เสื่อมถอยลงจนไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อพลเมืองอิสราเอลอีกต่อไป

กลุ่มฮามาสเป็นส่วนหนึ่งของแกนนำแห่งการต่อต้าน (axis of resistance) ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรขององค์กรที่มีลักษณะคล้ายกันจากทั่วตะวันออกกลางที่เตหะรานจัดตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเพื่อฉายอำนาจไปทั่วภูมิภาคและยับยั้งไม่ให้อิสราเอลโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ความเสื่อมถอยของฮามาสส่งผลกระทบในระดับภูมิภาคอย่างมีนัย

จากนั้นในเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว อิสราเอลได้ทิ้งระเบิดใส่สถานทูตอิหร่านในกรุงดามัสกัส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย อิหร่านจึงโจมตีตอบโต้อิสราเอลโดยตรงเป็นครั้งแรก และครั้งนี้ถือว่าความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลซึ่งต่อสู้กันมายาวนานด้วยการใช้กำลัง การลอบสังหาร และการโจมตีนอกดินแดนของอิสราเอล ได้ลุกลามไปสู่ที่โล่งแจ้งแล้ว

ชาวอิหร่านชูป้ายคาเมเนอี ผู้นำสูงสุด เพื่อฉลองที่อิหร่านยิงขีปนาวุธและส่งโดรนโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2025 Photo by ATTA KENARE / AFP
ชาวอิหร่านชูป้ายคาเมเนอี ผู้นำสูงสุด เพื่อฉลองที่อิหร่านยิงขีปนาวุธและส่งโดรนโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2025 Photo by ATTA KENARE / AFP

เมื่อฮามาสอ่อนแอลง อิสราเอลจึงหันมาเล่นงานกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ที่มีฐานที่มั่นอยู่ในเลบานอนและเป็นกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ซึ่งถือเป็นสมาชิกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในกลุ่มแกนนำแห่งการต่อต้าน

เดือน ก.ย. อิสราเอลได้กำจัดผู้นำระดับสูงของฮิซบุลเลาะห์ทั้งหมด รวมทั้งคลังขีปนาวุธเกือบทั้งหมด และบุกโจมตีพื้นที่ใจกลางของฮิซบุลเลาะห์ทางตอนใต้ของเลบานอนโดยไม่ถูกต่อต้าน จนแม้แต่ผู้ภักดีต่อฮิซบุลเลาะห์ยังยอมรับว่าฮิซบุลเลาะห์ประสบความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ

อิหร่านเปิดฉากโจมตีทางอากาศต่ออิสราเอลอีกครั้ง แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ฝั่งอิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศที่ทำลายระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านไปเกือบหมด จึงเปิดทางให้เกิดการโจมตีในวงกว้างขึ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ความอ่อนแออย่างกะทันหันของกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ยังส่งผลให้กลุ่มฮิซบุลเลาะห์ไม่สามารถปกป้องระบอบการปกครองของอัลอัสซาดในซีเรีย ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของอิหร่านได้ เมื่อกลุ่มกบฏเปิดฉากโจมตี การล่มสลายของอัสซาดในเดือน ธ.ค. ทำให้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างอิหร่านและซีเรียที่ดำเนินมายาวนานหลายทศวรรษต้องสิ้นสุดลง เหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้แกนนำแห่งการต่อต้านที่กำลังพังทลายอ่อนแอลง ตัวแทนของอิหร่านในซีเรียตกอยู่ในความเสี่ยง และทำให้เครื่องบินรบของอิสราเอลสามารถเข้าถึงเป้าหมายที่อ่อนแอในอิหร่านได้ง่ายขึ้น

เมื่อกลุ่มติดอาวุธทั้งในซีเรียและอิรักถูกอิสราเอลเด็ดปีกหมดแล้ว พันธมิตรแกนนำแห่งการต่อต้านก็เหลือเพียงกลุ่มกบฏฮูษีในเยเมนที่ยังฮึ่มฮั่มใส่อิสราเอลได้ แม้ว่าฮูษีคุกคามการเดินเรือในทะเลแดงได้ แต่ขีปนาวุธที่ยิงออกไปด้วยความหวังจะโจมตีเทลอาวีฟกลับไม่ก่อให้เกิดอันตรายเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญแต่อย่างใด

ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การตัดสินใจของ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ในการมอบความไว้วางใจให้บุคคลอื่นดูแลความปลอดภัยของประเทศ ถือเป็นการคำนวณที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ และเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ซึ่งต้องการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นชั่วคราวนี้ ก็เริ่มเตรียมการรุกครั้งใหญ่ที่เฝ้ารอมานาน

อิหร่านพลาดกำหนดเส้นตายการเปิดฉากในเดือน เม.ย. แต่กลับมีอีกเส้นตายหนึ่ง นั่นก็คือ กำหนดเวลา 60 วันที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์เปิดทางให้อิหร่านเจรจาโครงการนิวเคลียร์รอบใหม่ ซึ่งทางการอิสราเอลอ้างว่าอิหร่านใกล้จะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้แล้ว และเส้นตายใหม่นี้ก็หมดลงไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากอิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่าน เนทันยาฮูส่งสารไปยังชาวอิหร่านว่า การโจมตีของอิสราเอลจะ “เปิดทางให้คุณได้รับอิสรภาพ”

แม้ว่าอิสราเอลจะไม่ได้พยายามย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายปีก่อนการปฏิวัติอิหร่านในปี 1979 ซึ่งในตอนนั้นอิหร่านเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของอิสราเอลและของสหรัฐฯ ด้วย แต่ลักษณะของเป้าหมายที่ผู้วางแผนของอิสราเอลเลือกอาจมีผลอย่างน้อยในการรื้อถอนระบอบการปกครองที่ปกครองมาตั้งแต่การปฏิวัติอิหร่านครั้งนั้น

ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่กลุ่มผู้ชายที่เริ่มต้นอาชีพของพวกเขาหลังจากการล่มสลายของชาห์หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านั้นยังมีบทบาทสำคัญในอิหร่านอยู่

ผู้เสียชีวิตกลุ่มแรกเมื่อวันศุกร์รวมถึงเจ้าหน้าที่อาวุโสจำนวนมาก ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกๆ ที่เข้าร่วมกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1980 เพื่อปกป้องการปกครองใหม่ของนักบวชหัวรุนแรง และต่อมาก็พัฒนาเป็นแกนหลักของโครงการปฏิวัตินี้ นอกจากนี้ ยังมีทหารผ่านศึกหลายคนที่ผ่านสงครามอิหร่าน-อิรัก ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ปี 1980-1988 ซึ่งนักประวัติศาสตร์หลายคนมองว่าสงครามครั้งนี้เป็นเสมือนเบ้าหลอมที่ระบอบการปกครองในปัจจุบันถูกสร้างขึ้น

มีนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์อย่างน้อย 1 คนที่ถูกสังหารในการโจมตีระลอกแรกเป็นทหารผ่านศึกของ IRGC เช่นกัน อาลี ชัมคานี ผู้ช่วยอาวุโสของคาเมเนอีที่ตกเป็นเป้าหมาย เคยเป็นนักเคลื่อนไหวอิสลามใต้ดินในช่วงทศวรรษ 1970 ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคาเมเนอีเองขึ้นสู่อำนาจในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจาก อายาตุลเลาะห์ โคมัยนี ในปี 1989 แต่เริ่มอาชีพนักเคลื่อนไหวอิสลามในช่วงปลายทศวรรษ 1960

แม้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เมื่อฝุ่นควันจางลงหลังสงครามนี้ อิหร่านจะหันกลับไปมีท่าทีสนับสนุนอิสราเอลหรือสนับสนุนสหรัฐฯ เหมือนเมื่อก่อน แต่สิ่งที่ดูเป็นไปได้อย่างมากก็คือ อำนาจของบุคคลที่โค่นล้มชาห์ก่อนแล้วขึ้นเป็นผู้นำหลังการปฏิวัติในทศวรรษต่อมาจะอ่อนแอลงไม่มากก็น้อย

Photo by Menahem KAHANA / AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์