รายงานฉบับใหม่แสดงให้เห็นว่า 8 ปีที่ผ่านมา เป็น 8 ปี ที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นของก๊าซที่กักความร้อนในชั้นบรรยากาศ ทำให้อุณหภูมิโลกเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่อันตราย
การวิเคราะห์โดย Copernicus Climate Change Service ของสหภาพยุโรปที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (10 ม.ค.) ที่ผ่านมาระบุว่า ปี 2022 เป็นปีที่โลกร้อนที่สุดเป็นอันดับ 5 นับตั้งแต่มีการบันทึก นอกจากนี้ ยังรายงานว่ายุโรปมีฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดในปี 2022 และโดยรวมแล้วเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับ 2 ซึ่งมีอุณหภูมิสูงรองจากปี 2020
Copernicus อธิบายว่า ปี 2022 เป็น ‘ปีแห่งสภาพอากาศสุดขั้ว’ ซึ่งทำให้เกิดคลื่นความร้อนสูงเป็นประวัติการณ์ในยุโรป น้ำท่วมร้ายแรงในปากีสถาน น้ำท่วมใหญ่ในออสเตรเลีย และนั่นทำให้อุณหภูมิของทะเลแอนตาร์กติกแตะระดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา
รายงานระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.2 องศาเซลเซียส นับเป็นปีที่ 8 ติดต่อกันที่อุณหภูมิสูงกว่าช่วงอ้างอิงปี 1850 - 1900 อย่างน้อย 1 องศาเซลเซียส
ภายใต้ข้อตกลงปารีสปี 2015 ประเทศส่วนใหญ่ตกลงที่จะจำกัดความร้อนให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม แต่ควรอยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ระบุว่า ระดับ 1.5 องศาเซลเซียสเป็นเกณฑ์หลัก การฝ่าฝืนจะเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากต่อเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงและการเปลี่ยนแปลงที่แก้ไขไม่ได้
รายงานของ Copernicus ยังเน้นย้ำถึงความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนไว้ในชั้นบรรยากาศและทำให้โลกร้อนขึ้น
ก่อนที่มนุษย์จะเริ่มเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณมาก ความเข้มข้นของ CO2 ในชั้นบรรยากาศอยู่ที่ประมาณ 280 ส่วนในล้านส่วน จากข้อมูลของโคเปอร์นิคัส ค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 417 ส่วนในล้านส่วน ขณะที่ในปี 2022 เพิ่มขึ้น 2.1 ส่วนต่อล้านเมื่อเทียบกับปี 2021 บันทึกแสดงให้เห็นว่าความเข้มข้นของคาร์บอนในชั้นบรรยากาศไม่สูงเท่านี้ในรอบ 2 ล้านปี
IPCC กล่าวว่า โลกจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเกือบครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เพื่อให้มีโอกาสรักษาภาวะโลกร้อนให้พ้นระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.5 องศาเซลเซียส
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ปี 2022 เป็นปีที่อากาศอบอุ่นเป็นพิเศษ แม้จะมีปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งขณะนี้สังเกตได้เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันแล้ว ซึ่งปกติแล้วจะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเย็นลง
เมรีเบธ อาร์คอเดีย นักวิจัยกล่าวว่า เป็นไปได้มากว่าลานีญาที่ผ่านมาได้ปกปิดความร้อนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งเป็นระยะตรงข้ามกับลานีญา มีแนวโน้มที่จะทำให้อุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย จึงเป็นไปได้ว่าเมื่อเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญครั้งต่อไป อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกจะสูงกว่าที่เราเคยเห็นในอดีต
การวิเคราะห์โดย Copernicus Climate Change Service ของสหภาพยุโรปที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (10 ม.ค.) ที่ผ่านมาระบุว่า ปี 2022 เป็นปีที่โลกร้อนที่สุดเป็นอันดับ 5 นับตั้งแต่มีการบันทึก นอกจากนี้ ยังรายงานว่ายุโรปมีฤดูร้อนที่ร้อนที่สุดในปี 2022 และโดยรวมแล้วเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นอันดับ 2 ซึ่งมีอุณหภูมิสูงรองจากปี 2020
Copernicus อธิบายว่า ปี 2022 เป็น ‘ปีแห่งสภาพอากาศสุดขั้ว’ ซึ่งทำให้เกิดคลื่นความร้อนสูงเป็นประวัติการณ์ในยุโรป น้ำท่วมร้ายแรงในปากีสถาน น้ำท่วมใหญ่ในออสเตรเลีย และนั่นทำให้อุณหภูมิของทะเลแอนตาร์กติกแตะระดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา
รายงานระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.2 องศาเซลเซียส นับเป็นปีที่ 8 ติดต่อกันที่อุณหภูมิสูงกว่าช่วงอ้างอิงปี 1850 - 1900 อย่างน้อย 1 องศาเซลเซียส
ภายใต้ข้อตกลงปารีสปี 2015 ประเทศส่วนใหญ่ตกลงที่จะจำกัดความร้อนให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม แต่ควรอยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ระบุว่า ระดับ 1.5 องศาเซลเซียสเป็นเกณฑ์หลัก การฝ่าฝืนจะเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากต่อเหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงและการเปลี่ยนแปลงที่แก้ไขไม่ได้
รายงานของ Copernicus ยังเน้นย้ำถึงความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซมีเทนในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนไว้ในชั้นบรรยากาศและทำให้โลกร้อนขึ้น
ก่อนที่มนุษย์จะเริ่มเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในปริมาณมาก ความเข้มข้นของ CO2 ในชั้นบรรยากาศอยู่ที่ประมาณ 280 ส่วนในล้านส่วน จากข้อมูลของโคเปอร์นิคัส ค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 417 ส่วนในล้านส่วน ขณะที่ในปี 2022 เพิ่มขึ้น 2.1 ส่วนต่อล้านเมื่อเทียบกับปี 2021 บันทึกแสดงให้เห็นว่าความเข้มข้นของคาร์บอนในชั้นบรรยากาศไม่สูงเท่านี้ในรอบ 2 ล้านปี
IPCC กล่าวว่า โลกจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงเกือบครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 และบรรลุเป้าหมายสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เพื่อให้มีโอกาสรักษาภาวะโลกร้อนให้พ้นระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม 1.5 องศาเซลเซียส
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ปี 2022 เป็นปีที่อากาศอบอุ่นเป็นพิเศษ แม้จะมีปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งขณะนี้สังเกตได้เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันแล้ว ซึ่งปกติแล้วจะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเย็นลง
เมรีเบธ อาร์คอเดีย นักวิจัยกล่าวว่า เป็นไปได้มากว่าลานีญาที่ผ่านมาได้ปกปิดความร้อนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งเป็นระยะตรงข้ามกับลานีญา มีแนวโน้มที่จะทำให้อุณหภูมิสูงกว่าค่าเฉลี่ย จึงเป็นไปได้ว่าเมื่อเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญครั้งต่อไป อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกจะสูงกว่าที่เราเคยเห็นในอดีต