การจับกุมตัวอดีตประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ ทำให้ความขัดแย้งระหว่างสองครอบครัวการเมืองที่ยิ่งใหญ่ของฟิลิปปินส์อย่าง “ดูเตอร์เต” และ “มาร์กอส” ยิ่งร้าวลึก
นับจนถึงตอนนี้ ปี 2025 ถือเป็นปีแห่งหายนะสำหรับตระกูล “ดูเตอร์เต” จากการเป็นประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของฟิลิปปินส์ สู่วันที่ โรดริโก ดูเตอร์เต ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 11 มี.ค. โทษฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ศาลอาญาระหว่างประทศ (ICC) กำลังสืบสวนสอบสวนการทำสงครามปราบปรามยาเสพติดอย่างดุเดือดรุนแรงของดูเตอร์เต ซึ่งเป็นการกวาดล้างอย่างเป็นระบบและนองเลือด โดย ICC ประเมินว่าส่งผลให้ชาวฟิลิปปินส์ที่อาศัยอยู่ในชุมชนยากจนเสียชีวิตราว 12,000-30,000 คน
ดูเตอร์เตโต้ว่าการวิสามัญฆาตกรรมเป็นความจำเป็นเพื่อบังคับใช้กฎหมายและสร้างความสงบเรียบร้อยซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประชาชนโดยรวม อย่างไรก็ดี มันยังเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่ดูเตอร์เตได้โจมตีสถาบันประชาธิปไตยและกลุ่มประชาสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายเสรีนิยมและประชานิยมของเขาด้วย
การบังคับใช้หมายจับของ ICC ที่สร้างความประหลาดใจ
ดูเตอร์เตมั่นใจมากว่าตัวเองจะไม่ต้องรับผิดจากศาลอาญาระหว่างประเทศ และก็เป็นดูเตอร์เตเองที่พาฟิลิปปินส์ถอนตัวออกจากการเป็นรัฐภาคีของธรรมนูญกรุงโรมซึ่งกำหนดให้มีศาลอาญาระหว่างประเทศ
เรื่องที่น่าประหลาดใจคือ คดีของดูเตอร์เตถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ยื่นฟ้องเมื่อปี 2018 เมื่อเทียบกับคดีก่อนๆ ของ ICC ดูเตอร์เตมักจะวิจารณ์ ICC อย่างดุเดือดว่า เป็นศาลที่มีอคติแบบตะวันตกซึ่งมุ่งเป้าไปที่การบ่อนทำลายอธิปไตยของรัฐ ทำนองเดียวกับเสียงวิจารณ์จากรัสเซียและจีน
ก่อนหน้านี้ตระกูลดูเตอร์เต รวมทั้ง ซารา ดูเตอร์เต รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฟิลิปปินส์ เชื่อมั่นในสถานการณ์ของตัวเอง เนื่องจากประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ บองบอง มาร์กอส จูเนียร์ ให้หคำมั่นว่าศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีเขตอำนาจศาลในฟิลิปปินส์

ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย
พันธมิตรทางการเมืองและผู้สนับสนุนของดูเตอร์เตพากันฟูมฟายและกล่าวหาว่ารัฐใช้อำนาจในทางที่ผิดอย่างร้ายแรง
แต่ที่ย้อนแย้งคือ การทำสงครามกับยาเสพติดของดูเตอร์เตก็ถูกมองว่ารัฐใช้อำนาจในทางที่ผิดเช่นเดียวกัน เพราะเป็นการลัดขั้นตอน ทำลายเสรีภาพของพลเมือง และกัดกร่อนหลักนิติธรรมของฟิลิปปินส์ เมื่อฟิลิปปินส์ต้องยืมมือศาลระหว่างประเทศเพื่อให้มีคนรับผิดต่อคดีอาญาและสิทธิมนุษยชน มันก็เหมือนเป็นคำตัดสินที่พิสูจน์ความผิดของหลักคุณธรรมและคุณภาพของประชาธิปไตย
สงครามเอพิโสดล่าสุดระหว่างมาร์กอสและดูเตอร์เตเป็นการเพิ่มหลักฐานว่า การเลือกตั้งกลางเทอมที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ค.นี้ จะเป็นตัวตัดสินการแบ่งขั้วระหว่างตระกูลการเมือง 2 ตระกูลนี้ แต่เรายังต้องดูกันต่อไปว่าการจับกุมดูเตอร์เตจะนำมาซึ่งการกักขังหรือไม่ เพราะดูเตอร์เตลงทะเบียนสมัครชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรีเมืองดาเวาซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของตะกูลดูเตอร์เตเรียบร้อยแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่อดีตประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมถูกควบคุมตัวเกิดขึ้นในปี 2001 เมื่อการจับกุมตัว โจเซฟ เอสตราดา นำมาสู่การประท้วงทางการเมืองครั้งใหญ่ที่เกือบโค่นรัฐบาลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น
และใน “ศึกชิงบัลลังก์” ในประเทศประชาธิปไตยที่เก่าแก่ที่สุดของอาเซียน ความขัดแย้งระหว่าง “บ้านใหญ่” มักส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมือง ความหายนะทางเศรษฐกิจ และการถดถอยของระบอบประชาธิปไตย
หากกลุ่มอีลีทไม่ถูกจำกัดและสถาบันต่างๆ ทำงานต่อไปไม่ได้ ฟิลิปปินส์ก็อาจต้องเผชิญกับประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้าอีกครั้ง
Photo by Holmes CHAN / AFP

ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอย
พันธมิตรทางการเมืองและผู้สนับสนุนของดูเตอร์เตพากันฟูมฟายและกล่าวหาว่ารัฐใช้อำนาจในทางที่ผิดอย่างร้ายแรง
แต่ที่ย้อนแย้งคือ การทำสงครามกับยาเสพติดของดูเตอร์เตก็ถูกมองว่ารัฐใช้อำนาจในทางที่ผิดเช่นเดียวกัน เพราะเป็นการลัดขั้นตอน ทำลายเสรีภาพของพลเมือง และกัดกร่อนหลักนิติธรรมของฟิลิปปินส์ เมื่อฟิลิปปินส์ต้องยืมมือศาลระหว่างประเทศเพื่อให้มีคนรับผิดต่อคดีอาญาและสิทธิมนุษยชน มันก็เหมือนเป็นคำตัดสินที่พิสูจน์ความผิดของหลักคุณธรรมและคุณภาพของประชาธิปไตย
สงครามเอพิโสดล่าสุดระหว่างมาร์กอสและดูเตอร์เตเป็นการเพิ่มหลักฐานว่า การเลือกตั้งกลางเทอมที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ค.นี้ จะเป็นตัวตัดสินการแบ่งขั้วระหว่างตระกูลการเมือง 2 ตระกูลนี้ แต่เรายังต้องดูกันต่อไปว่าการจับกุมดูเตอร์เตจะนำมาซึ่งการกักขังหรือไม่ เพราะดูเตอร์เตลงทะเบียนสมัครชิงเก้าอี้นายกเทศมนตรีเมืองดาเวาซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของตะกูลดูเตอร์เตเรียบร้อยแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่อดีตประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมถูกควบคุมตัวเกิดขึ้นในปี 2001 เมื่อการจับกุมตัว โจเซฟ เอสตราดา นำมาสู่การประท้วงทางการเมืองครั้งใหญ่ที่เกือบโค่นรัฐบาลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น
และใน “ศึกชิงบัลลังก์” ในประเทศประชาธิปไตยที่เก่าแก่ที่สุดของอาเซียน ความขัดแย้งระหว่าง “บ้านใหญ่” มักส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมือง ความหายนะทางเศรษฐกิจ และการถดถอยของระบอบประชาธิปไตย
หากกลุ่มอีลีทไม่ถูกจำกัดและสถาบันต่างๆ ทำงานต่อไปไม่ได้ ฟิลิปปินส์ก็อาจต้องเผชิญกับประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้าอีกครั้ง
Photo by Holmes CHAN / AFP