ภัยร้าย ‘ฝุ่นจิ๋ว’ ที่ไม่จิ๋วเหมือนชื่อ
ประเทศไทยของเราเผชิญกับฝุ่นพิษ ‘PM 2.5’ มาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว แม้ที่ผ่านมารัฐบาลจะพยายามแก้ปัญหาแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุเสียมากกว่า ประกอบกับพฤติกรรมของผู้คนในการใช้รถใช้ถนน การปล่อยควันจากโรงงาน ตลอดจนการเผาป่าก็ยังไม่ถูกควบคุมเข้มงวดอย่างจริงจัง จึงทำให้เจ้าฝุ่นจิ๋วยังวนเวียนในประเทศไทยอยู่ตลอด จนบางคนก็ชินชากับมันราวกับว่ามันไม่อันตราย
แต่รู้หรือไม่ว่าในความจิ๋วของมันนั้นแฝงไปด้วยอันตรายที่ไม่จิ๋วเหมือนตัวมันเลย เพราะล่าสุดมันคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปกว่า 4 ล้านคน! และพบว่ามีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมากในลอนดอน ประเทศอังกฤษ และเขตโดโนรา รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐฯ เป็นต้น กรณีล่าสุดของไทยคือ ‘คุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล’ เจ้าของเพจ ‘สู้ดิวะ’
ทั้งนี้ การวิจัยจำนวนมากที่มีอยู่ในปัจจุบันได้แสดงให้เห็นโดยสรุปว่าการสัมผัสมลพิษทางอากาศทั้งในระยะสั้น (เช่น ไม่กี่วันถึงสัปดาห์) และระยะยาว (เช่น เดือนถึงปี) สามารถก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพตั้งแต่ชั่วคราว ไปจนถึงเรื้อรัง ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ผลกระทบต่อสุขภาพใน ‘ระยะสั้น’ และ ‘ระยะยาว’
การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศแม้จะแค่ 2-3 ชั่วโมงแต่ติดกันนาน 2-3 วัน ก็อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหู จมูก และลำคอได้ แต่อาการมักจะหายไปเมื่อระดับมลพิษทางอากาศลดลง แต่การสัมผัสฝุ่นจิ๋วใน ‘ระยะสั้น’ ยังอาจทำให้สภาวะทางเดินหายใจส่วนล่างเรื้อรังและรุนแรงขึ้น เช่น
- เกิดภูมิแพ้
- หอบหืด
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- หลอดลมอักเสบ
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ แม้สัมผัสฝุ่นจิ๋วในระยะสั้นก็อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวาย และเสียชีวิตได้
ส่วนผลกระทบต่อสุขภาพจากการสัมผัสฝุ่นใน ‘ระยะยาว’ นั้นอาจมีความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคหัวใจเรื้อรัง โรคทางเดินหายใจ การติดเชื้อในปอด มะเร็งปอด เบาหวาน และปัญหาสุขภาพอื่นๆ
นอกจากนี้ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังระบุว่าการที่คุณแม่ตั้งครรภ์สัมผัสกับมลพิษทางอากาศจะส่งผลเสียต่อการคลอดบุตรได้ กล่าวคือ ทารกอาจคลอดก่อนกำหนดหรือมีน้ำหนักน้อยเกินไป ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคร้ายแรงและการเสียชีวิตอื่นๆ
การศึกษาจำนวนมากขึ้นชี้ให้เห็นว่ามลพิษทางอากาศสามารถทำให้เกิดโรคอื่นๆ ได้หลายอย่าง รวมถึงผลลัพธ์ด้านสุขภาพสมอง เช่น
- ผลกระทบทางระบบประสาทในวัยเด็กและวัยรุ่น
- โรคเกี่ยวกับความเสื่อมของระบบประสาทในวัยผู้ใหญ่
การสัมผัส ‘ฝุ่นจิ๋ว’ คร่าชีวิตคนทั่วโลกมากกว่า 4 ล้านคนในปี 2019
ในปี 2019 การสัมผัสกับมลภาวะ PM 2.5 ในระยะยาวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4.14 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งคิดเป็น 62% ของการเสียชีวิตที่เกิดจากมลพิษทางอากาศทั้งหมด ทั้งนี้ พบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นประมาณ 23% ทั่วโลกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ในบรรดาปัจจัยเสี่ยง 69 ประการที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเสี่ยงได้ PM 2.5 อยู่ในอันดับที่ 6 ตามหลังโรคความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ น้ำตาลในเลือดสูง และอื่นๆ ซึ่งตัวฝุ่นจิ๋วนี้ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ในบรรดาความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัยทั้งหมด
เอเชีย-แอฟริกา-ตะวันออกกลางสัมผัสฝุ่นจิ๋ว ‘สูงที่สุด’
ผู้คนส่วนใหญ่บนโลกต้องเผชิญกับมลภาวะ PM2.5 ในระดับที่เป็นอันตราย แต่ประเทศที่สัมผัสฝุ่นสูงสุดนั้นส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย แอฟริกา และตะวันออกกลาง
ตามข้อมูลสำรวจคุณภาพอากาศของ IQAir ปี 2022 ระบุว่า 10 ประเทศที่มีระดับ PM 2.5 สูงสุด ได้แก่
- ชาด (89.7)
- อิรัก (80.1)
- ปากีสถาน (70.9)
- บาห์เรน (66.6)
- บังกลาเทศ (65.8)
- บูร์กินาฟาโซ (63)
- คูเวต (55.8)
- อินเดีย (53.3)
- อียิปต์ (46.5)
- ทาจิกิสถาน (46)
ส่วนประเทศไทยอยู่อันดับที่ 57 (18.1) จากที่สำรวจทั้งหมด 131 ประเทศ
สำหรับแหล่งที่มาของมลภาวะ PM 2.5 ก็แตกต่างกันไปตามปัจจัยในแต่ละประเทศและภูมิภาค แต่แหล่งที่มาต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สถานที่บางแห่งจำกัดกิจกรรมหรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในขณะที่บางแห่งกำลังเพิ่มการใช้ถ่านหินและตัวขับเคลื่อนหลักอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดมลพิษ PM 2.5
แต่เอเชียและแอฟริกาเผชิญภาระโรคจาก PM2.5 สูงสุด
จากการศึกษาพบว่า ประเทศในเอเชียและแอฟริกามีอัตราการเสียชีวิตจาก PM 2.5 สูงสุดเมื่อพิจารณาจากอัตราการเสียชีวิตที่สูงและจำนวนประชากรจำนวนมาก ส่วนจีนและอินเดียรวมกันคิดเป็น 58% ของภาระการเสียชีวิตทั่วโลก (global mortality burden) ทั้งนี้ พบว่า ในปี 2019 มีผู้เสียชีวิต 1.42 ล้านคนจาก PM 2.5 ในประเทศจีน และ 980,000 คนในอินเดีย
ภาระดังกล่าวกำลังเพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็วที่สุดในเอเชีย โดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และโอเชียเนีย มีผู้เสียชีวิตจาก PM 2.5 เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ในแอฟริกาตอนใต้ทะเลทรายซาฮารา ในแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นรองลงมา