ฮุนมาเนตเตือนกลุ่มชาตินิยมสุดโต่งอย่าจุดชนวนขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

21 ก.พ. 2568 - 05:19

  • นายกฯ ฮุนมาเนต เตือนถึงกระแสชาตินิยมที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในกัมพูชาและไทย โดยเตือนว่าการแทรกแซงทางการเมืองในประเด็นชายแดนอาจเพิ่มความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศเพื่อนบ้านได้

  • มาเนตได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของคณะกรรมการระดับชาติ การเจรจาทางเทคนิค และกรอบทางกฎหมายทางประวัติศาสตร์ในการแก้ไขข้อพิพาทเรื่องพรมแดนที่มีมายาวนาน

pm-warns-of-nationalist-rhetoric-fuelling-thai-border-tensions-SPACEBAR-Hero.jpg

นายกฯ ฮุนมาเนต เตือนถึงกระแสชาตินิยมที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในกัมพูชาและไทย โดยเตือนว่าการแทรกแซงทางการเมืองในประเด็นชายแดนอาจเพิ่มความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศเพื่อนบ้านได้ เขาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของคณะกรรมการระดับชาติ การเจรจาทางเทคนิค และกรอบทางกฎหมายทางประวัติศาสตร์ในการแก้ไขข้อพิพาทเรื่องพรมแดนที่มีมายาวนาน 

“ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กลุ่มชาตินิยม หรือกลุ่มนักการเมืองที่ส่งเสริมลัทธิชาตินิยม ทั้งในกัมพูชาและไทย ได้ผลักดันสถานการณ์นี้...กัมพูชายังคงยืนหยัดในจุดยืนในการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยวิธีการสันติ แต่กัมพูชาจะรักษาสิทธิในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนด้วยวิธีการทุกวิถีทาง รวมถึงการใช้กำลังทหารหากประเทศใดกล้าใช้กำลังทหารรุกรานกัมพูชา มาเนต กล่าว 

ชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยยังคงเป็นปัญหาละเอียดอ่อน เนื่องจากบางพื้นที่ไม่มีด่านตรวจชายแดนที่ชัดเจน  

ฮุนตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่เมืองโจอัมในเขตอันลองเวงของจังหวัดอุดรมีชัยไปจนถึงด่านจามเยียมในจังหวัดเกาะกงนั้นมีด่านพรมแดนอยู่ 74 จุด ในขณะที่ตั้งแต่เขตมุมเบยในพระวิหารไปจนถึงจามเยียมกลับไม่มีจุดผ่านแดนใดๆ

ในทางกลับกัน กัมพูชากลับใช้แผนที่ปี 1908 ที่ออกโดยคณะกรรมการกำหนดเขตแดนอินโดจีนและสยาม ซึ่งเป็นแผนที่ในยุคอาณานิคมของฝรั่งเศส 

“ปัญหาชายแดนต้องใช้เวลาในการแก้ไข เราได้ดำเนินการแก้ไขปัญหานี้มาตั้งแต่ปี 1998 เราได้ระบุเครื่องหมายชายแดนบางส่วนแล้ว แต่ยังคงไม่มีในบางพื้นที่ เรายังไม่ได้ตกลงกันเกี่ยวกับจุดตรวจที่ 73...ตามแผนที่ปี 1907 ระบุว่าจุดตรวจที่ 73 อยู่ที่นั่น แต่ตอนนี้ได้ย้ายจุดตรวจแล้ว เราไม่เห็นด้วย เรามาเจรจากันต่อไป” มาเนต กล่าว 

ส่วนสถานการณ์ชายแดนบริเวณปราสาทตาเมือนธม-ปราสาทตากกระบี ซึ่งเกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างทหารกัมพูชาและไทยเมื่อไม่นานนี้ ด้านมาเนตก็ยืนยันว่า กัมพูชาและไทยได้บรรลุข้อตกลงภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MoU) เมื่อปี 2000 แล้ว โดยใช้พรมแดนปี 1908 เป็นพื้นฐานในการเจรจา แทนที่จะพึ่งพาแผนที่จาก Google Maps 

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นปราสาทขอมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิพาทชายแดนระหว่างจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชาและจังหวัดสุรินทร์ของไทย วิดีโอที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตเผยให้เห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นเมื่อทหารไทยพยายามหยุดกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวกัมพูชา ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนกัมพูชาที่กำลังร้องเพลง ‘Den Dei Sovannaphum’ (ดินแดนแห่งทองคำ) แสดงความรักชาติอยู่หน้าปราสาท 

ในคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ออกไปทั่วโลกออนไลน์เผยให้เห็น พลจัตวานีก วง ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 42 ของภาค 4 ของกัมพูชา พูดคุยกับทหารไทยทั้งภาษาไทยและภาษาเขมรว่า “ทหารไทยไม่ได้รับอนุญาตให้เหยียบแผ่นดินนี้ หากคุณต้องการยิง ก็เชิญเลย” ทหารไทยคนหนึ่งตอบว่า “ผมมาที่นี่เพราะผมได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา” จากนั้นพลจัตวานีก วง ก็พูดเสียงดังขึ้นว่า “ผมจะสั่งให้ทหารของผมทำเช่นเดียวกัน” 

แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ไทย แถลงการณ์ว่า สถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงสงบ และได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างทั่วถึง โดยไม่มีข้อขัดแย้ง ในระหว่างการเยือนกัมพูชาในครั้งหน้า แพทองธารจะหารือเรื่องนี้อีกครั้ง และแสดงความเชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดี และขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล 

“นี่คือสิ่งที่รัฐบาลถูกกล่าวหาว่าไร้ความรับผิดชอบหรือไม่ ในขณะที่เรากำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างแข็งขัน ข้อพิพาทเรื่องพรมแดนต้องใช้เวลาและต้องได้รับการแก้ไขโดยยึดหลักทางเทคนิคและกฎหมาย ไม่ใช่ผ่านการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ขับเคลื่อนโดยชาตินิยม การหันไปพึ่งลัทธิชาตินิยมจะยิ่งนำไปสู่ความขัดแย้งมากขึ้น” มาเนต กล่าว 

นอกจากนี้ มาเนตยังวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มฝ่ายค้านในต่างประเทศที่เรียกร้องให้รัฐบาลยื่นฟ้องคดีเกาะกูดต่อศาลระหว่างประเทศ โดยยืนยันว่ากัมพูชามีกลไกที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในทำนองเดียวกัน นักการเมืองไทยก็ได้กดดันรัฐบาลของตัวเองในประเด็นชายแดน แต่รัฐบาลไทยก็มีกลไกของตัวเองเช่นกัน 

มาเนตเน้นย้ำว่า “การแก้ไขปัญหาชายแดนจะต้องอยู่ภายใต้เขตอำนาจของคณะผู้เชี่ยวชาญและกลไกทางกฎหมาย มากกว่าจะได้รับอิทธิพลจากวาทกรรมชาตินิยม นักการเมืองไทยไม่ควรนำเรื่องนี้ไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองโดยอ้างเหตุผลส่วนตัว” 

(Photo by TANG CHHIN Sothy / AFP)

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์