สื่อนอกชี้กองทัพไทยกำลังเผชิญความจริงหลังเลือกตั้ง

22 พ.ค. 2566 - 08:36

  • เมื่อบทบาททหารกับการเมืองไทยกำลังเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความจริงหลังฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง

  • คนไทยกำลังต่อต้านระบอบการเมืองที่มีทหารเป็นผู้นำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาต่อต้านการรัฐประหารมานานแล้ว และนี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ!

polls-thailands-politicized-military-faces-moment-of-truth-SPACEBAR-Hero

หัวเลี้ยวหัวต่ออิทธิพลทางทหารในการเมืองไทย 

แม้ว่าการเลือกตั้งจะจบไปได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว แต่เมื่อวันอาทิตย์ (14 พ.ค.) ที่ผ่านมาบริเวณคูหาเลือกตั้งใกล้ค่ายทหารขนาดใหญ่ในจังหวัดปราจีนบุรี ดูเหมือนว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งพากันหันหลังให้กับนายพลจากกองทัพที่ปกครองประเทศไทยมาเกือบสิบปี 

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งวัย 57 ปีแสดงความเห็นว่า “เมื่อเรามีสิทธิเปลี่ยนแปลง เราก็ควรเปลี่ยน…ฉันต้องการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี” เธอกล่าวกับสำนักข่าว Nikkei Asia 

แต่นี่ไม่ใช่การดูแคลนพรรครวมไทยสร้างชาติที่นำโดยนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคพลังประชารัฐที่นำโดยรองนายกรัฐมนตรีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่เป็นเสียงสะท้อนจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตดุสิตของกรุงเทพฯ และจังหวัดลพบุรีซึ่งเขตหลังนี้ก็เป็นที่ตั้งของทหารด้วย  

อย่างไรก็ดี การตำหนิกองทัพในพื้นที่ของกองทัพเองเผยให้เห็นนถึงความไม่พอใจที่กระตุ้นคลื่นสนับสนุนประชาธิปไตยที่พัดผ่านประเทศไทยในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 2 นับตั้งแต่การรัฐประหารโดยกองทัพในปี 2014 ที่นำโดยนายพลทั้งสองอย่างพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร 

ทว่าการนับคะแนนครั้งสุดท้ายกลับกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านที่สนับสนุนประชาธิปไตย 2 พรรค ได้แก่ พรรคก้าวไกลและเพื่อไทยที่ต่างก็ได้รับชัยชนะร่วมกันด้วยคะแนนเสียง 64% ของจำนวนเสียงทั้งหมด 39 ล้านเสียง ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากคะแนนเสียงของพรรคเกือบ 40% ในช่วงการเลือกตั้งเมื่อปี 2019 

ชัยชนะทางการเมืองครั้งนี้ทำให้พรรคก้าวไกลสามารถรักษาที่นั่ง 152 ที่นั่งในสภาล่างที่มีสมาชิก 500 คนอย่างไม่คาดคิด ทว่าตอนนี้พรรคก้าวไกลก็กลายเป็นที่จับจ้องท่ามกลางกระแสพรรคที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปกองทัพที่ยึดมั่นอย่างลึกซึ้งซึ่งเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีอำนาจมากที่สุดของประเทศไทย  

ขณะที่ผู้สังเกตการณ์ไม่แปลกใจเลยที่ศูนย์กลางแรงดึงดูดทางการเมืองได้เคลื่อนออกจากค่ายทหารฝ่ายนิยมเจ้า โดยพรรคฝ่ายทหารทั้งของพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรได้ที่นั่งรวมทั้งหมด 76 ที่นั่งซึ่งลดลงอย่างมากจาก 116 ที่นั่งที่ทั้งสองพรรคได้รับในปี 2019  

หรืออำนาจกองทัพกำลังจะเปลี่ยนไป?

“มีสัญญาณมากมายในวันที่นำไปสู่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่ไม่พอใจทหารทางการเมืองเหมือนเช่นหลังรัฐประหาร 1991…ความรู้สึกเดิมๆ และความผิดหวังจากสาธารณชนแบบเดิมๆ ที่เราได้ยินว่าไม่ต้องการให้ทหารเข้ามายุ่งกับการเมืองก็กลับมา แต่คราวนี้ประชาชนต่อต้านพลเอกประยุทธมาเกือบ 10 ปีแล้ว” 

ความจริงใหม่นี้กำลังค่อยๆ จมลงในหมู่ชนชั้นปกครองทหารและเผด็จการ ซึ่งควบคุมกองกำลังป้องกันที่มีอำนาจและมีบทบาทเกินขอบเขตในระบบเศรษฐกิจ ทั้งยังทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สถาบันกษัตริย์ควบคู่กับบทบาทด้านความมั่นคงของชาติแบบดั้งเดิมด้วย 

ขณะเดียวกันนักการทูตที่ประจำอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาให้กับบรรดาผู้มีอิทธิพลต่างก็รายงานว่า “ชนชั้นนำฝ่ายปกครองกำลังช็อกต่อผลการเลือกตั้งและมีเพียงไม่กี่คนในค่ายทหารฝ่ายนิยมเจ้าแห่งนี้ที่เห็นว่าพรรคก้าวไกลจะได้ที่นั่งมากกว่า 50 ที่นั่ง นับประสาอะไรกับ 150 ที่นั่ง”  

“พวกเขาไม่เชื่อในโมเมนตัมการเลือกตั้งล่วงหน้าของพรรคก้าวไกล ดังนั้นผลที่ได้ก็ทำให้พรรคนี้เปลี่ยนจากความน่ารำคาญไปสู่ภัยคุกคามพื้นฐาน” นักการทูตท่านหนึ่งให้ข้อสังเกต 

ด้านนักวิเคราะห์ได้ชี้ให้เห็นถึงการรุกคืบทางการเมืองที่ฝ่ายค้านสนับสนุนประชาธิปไตยที่สร้างขึ้นในพื้นที่หลังบ้านของกองทัพ ซึ่งเป็นที่ที่เส้นทางอาชีพทหารของพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร รวมถึงรัฐมนตรีมหาดไทยอย่างพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งเป็นกลุ่มรัฐประหารปี 2014 ได้เริ่มต้นขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือ เส้นทางการก้าวขึ้นสู่อำนาจของคนเหล่านี้เริ่มขึ้นที่ปราจีนบุรี นั่นคือกองบัญชาการกองพลที่ 2 หรือที่เรียกว่า ‘บูรพาพยัคฆ์’  

ทว่าหลังจากทราบผลเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา คาดว่าพล.อ.ประยุทธ์และผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นเนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่ไม่แน่นอน และอาจกินเวลาหลายเดือนเพราะกฎหลังการเลือกตั้งที่แปลกประหลาด 

“กองทัพไม่สามารถเสี่ยงที่จะทำให้ประชาชนแปลกแยกอีกต่อไปหลังจากผลการเลือกตั้งออกโดยพยายามปกป้องผู้ดำรงตำแหน่ง…หากพวกเขาเลือกผิด แม้กระทั่งการแบ่งแยกและพิชิตนโยบาย พวกเขาจะจบลงด้วยการเผชิญหน้ากับความโกรธของประชาชนที่ต่อต้านทหาร (ต้นทศวรรษ 1990) หรือแย่กว่านั้นมาก” กัน ยืนยง ผู้อำนวยการบริหารของสยามอินเทลลิเจนซ์ 

แต่ก่อนหน้านั้น กองทัพจะต้องจัดการกับการแตกแยกที่เกิดขึ้นตามรายงานหลังการเลือกตั้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่อาวุโสส่วนใหญ่สนับสนุนพันธมิตรทางทหารในการเลือกตั้ง ขณะที่ทหารระดับต่ำกว่าพันเอกส่วนใหญ่นิยมพรรคก้าวไกล 

ทั้งนี้ แหล่งข่าวที่เชื่อมโยงทางการเมืองยังตรวจพบความรู้สึกต่อต้านภายในบางส่วนของกองทัพในกรุงเทพฯ หลังจากที่พรรคก้าวไกลได้รับชัยชนะ 

ส่วนนายพลบางคนต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาต้องระแวดระวังเกี่ยวกับแผนการเปลี่ยนผ่านของพรรคก้าวไกลเพื่อเป็นผู้นำรัฐบาลใหม่ บ่งบอกถึงความไม่สบายใจ ในทางตรงกันข้ามนายทหารชั้นผู้น้อยที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกลต่างดีใจปีติยินดี้ ขนาดที่บางคนถึงขั้นสวมชุดสีส้มของพรรคเวลาที่อยู่นอกเครื่องแบบในที่สาธารณะอีกด้วย

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์