เมื่อวันพุธ (18 ต.ค.) ที่ผ่านมา ผู้ประท้วงนับร้อยคนพากันบุกอาคารของรัฐสภาสหรัฐฯ เพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ผลักดันให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา ซึ่งในขณะนี้อยู่ภายใต้การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลนับตั้งแต่การโจมตีของกลุ่มฮามาส
เหล่าผู้ประท้วงแต่งกายด้วยเสื้อยืดสีดำสกรีนคำว่า ‘ชาวยิวบอกให้หยุดยิงเดี๋ยวนี้’ และ ‘ไม่ใช่ในนามของเรา’ นักเคลื่อนไหวนั่งปรบมือและร้องเพลงบนพื้นของอาคาร และชูป้ายขนาดใหญ่ที่มีข้อความว่า ‘หยุดยิง’ และ ‘ปล่อยกาซามีชีวิตเถอะ’
ตำรวจศาลากลางกล่าวว่า ไม่อนุญาตให้มีการประท้วงภายในอาคาร และมีผู้ประท้วงหลายคนถูกจับกุม
“เราเตือนผู้ประท้วงให้หยุดเดินขบวน และเมื่อพวกเขาไม่ปฏิบัติตาม เราก็เริ่มจับกุมพวกเขา” ตำรวจรัฐสภาสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์บนเว็บไซต์ X (ซึ่งเดิมชื่อ Twitter)
การประท้วงดังกล่าวจัดขึ้นโดย Jewish Voice for Peace ซึ่งเป็นองค์กรยิวต่อต้านไซออนิสต์ ก่อนการประชุม ผู้คนหลายร้อยคนมารวมตัวกันที่เนชันแนล มอลล์ ใกล้กับรัฐสภาเพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารของไบเดนเจรจาหยุดยิง
“ไบเดนเป็นคนเดียวจริงๆ ที่มีอำนาจกดดันอิสราเอลในขณะนี้ และเขาจำเป็นต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อช่วยชีวิตผู้บริสุทธิ์” ฮันนาห์ ลอว์เรนซ์ วัย 32 ปี ซึ่งมาจากรัฐเวอร์มอนต์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ เผย
ลินดา โฮลต์ซแมน วัย 71 ปี เรียกร้องให้หยุดยิงทันที และเรียกร้องให้ไบเดน ‘ตาสว่างสักที’
“ดูว่าเกิดอะไรขึ้นในฉนวนกาซา ดูความเสียหายในฉนวนกาซาสิ” โฮลต์ซแมนกล่าว
ตะวันออกกลางประณาม
ฝูงชนที่โกรธแค้นได้รวมตัวกันหลังจากการเรียกร้องจากขบวนการฮิซบอลเลาะห์ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านและกลุ่มปาเลสไตน์ให้ระดมมวลชน
“อเมริกาไปตายซะ อิสราเอลไปตายซะ” ผู้สนับสนุนฮิซบอลเลาะห์หลายร้อยคนตะโกนในการชุมนุมในย่านชานเมืองทางตอนใต้ของเบรุต
“ชาวอิสราเอลจะพยายามกำหนดเป้าหมายไปที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่กู้ภัย อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน และผู้อยู่อาศัยในฉนวนกาซาให้มากขึ้นโดยไม่สะทกสะท้าน เพื่อที่จะผลักดันผู้คนในฉนวนกาซาออกไป” ฮาชิม ซาฟีดดีน เจ้าหน้าที่อาวุโสของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ กล่าวกับผู้ประท้วง
ผู้ประท้วงเดินขบวนไปตามถนนในเมืองรามัลเลาะห์และนาบลุส ในเขตเวสต์แบงก์ พร้อมตะโกนว่า ปลดปล่อยปาเลสไตน์
กลุ่มติดอาวุธอิสราเอลและปาเลสไตน์ต่างกล่าวโทษการโจมตีในโรงพยาบาลเมื่อค่ำวันอังคาร โดยกองทัพอิสราเอลกล่าวในภายหลังว่ามี ‘หลักฐาน’ ที่แสดงว่ากลุ่มติดอาวุธต้องรับผิดชอบ
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และบาห์เรน ซึ่งทั้งสองสถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอลในสนธิสัญญาอับราฮัมปี 2020 วิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีดังกล่าว ในขณะที่อิสราเอลตอบโต้กลุ่มติดอาวุธฮามาสจากเหตุโจมตีร้ายแรงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม
“สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ขอประณามการโจมตีของอิสราเอลอย่างรุนแรง... ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายร้อยคน” สำนักข่าว WAM อย่างเป็นทางการของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระบุเมื่อเช้าวันพุธ
ในบาห์เรนผู้ประท้วงหลายสิบคนเดินขบวนไปยังสถานทูตอิสราเอล ก่อนที่ตำรวจจะสลายการชุมนุม
ซาอุดีอาระเบียย ซึ่งระงับการเจรจาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่อาจเกิดขึ้นกับอิสราเอลนับตั้งแต่ความรุนแรงปะทุขึ้น เรียกเหตุระเบิดดังกล่าวว่าเป็น ‘อาชญากรรมร้ายแรงที่กระทำโดยอิสราเอล’
กาตาร์ หนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของกลุ่มฮามาส ประณามเหตุการณ์ ‘การสังหารหมู่อย่างโหดร้าย’
โมร็อกโก ซึ่งเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ยอมรับอิสราเอล ก็ตำหนิอิสราเอลเช่นกันสำหรับการโจมตี เช่นเดียวกับอียิปต์
ประธานาธิบดีอียิปต์ อับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ประณามด้วยถ้อยคำที่รุนแรงที่สุด ‘การวางระเบิดของอิสราเอลของโรงพยาบาลซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของเหยื่อผู้บริสุทธิ์หลายร้อยคนในหมู่ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา’