สู้รบเมียนมาดุเดือดขึ้นแต่ทั่วโลกก็ยังเมิน สนใจแต่สงครามในยูเครน-กาซา

22 เมษายน 2567 - 04:53

ragtag-resistance-sees-the-tide-turning-in-a-forgotten-war-SPACEBAR-Hero.jpg
  • กลุ่มกบฏทำให้กองทัพเมียนมาพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ทำให้เกิดความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลเผด็จการทหารอาจเสี่ยงต่อการล่มสลาย

  • “กองกำลังป้องกันชาติกะเรนนี (K.N.D.F.) และกองกำลังติดอาวุธพันธมิตรจะสามารถควบคุมกะเรนนีทั้งหมดได้ในไม่ช้า ทำให้เป็นรัฐแรกในเมียนมาที่หลุดพ้นจากการควบคุมของรัฐบาลเผด็จการทหาร”

  • แต่ถึงกระนั้นสงครามกลางเมืองของเมียนมาก็ยังห่างไกลจากความสนใจของนานาชาติที่ยังคงติดอยู่กับความขัดแย้งในยูเครนและฉนวนกาซา

ในเวลานี้ดูเหมือนว่าสถานการณ์สู้รบในเมียนมาระหว่างฝ่ายกองทัพรัฐบาลทหารกับกลุ่มกบฏจะตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ที่ผ่านมาสายตาของโลกยังคงมุ่งความสนใจไปที่ความขัดแย้งในทวีปอื่นๆ ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนจำนวนมากในเมียนมาที่สงสัยว่าเหตุใดความวุ่นวายและความตายของคนที่นี่จึงได้รับความสนใจจากทั่วโลกเพียงเล็กน้อย 

บัดนี้ หลังจาก 3 ปีแห่งการต่อต้านอย่างสิ้นหวัง แนวรบก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกลุ่มกบฏได้บุกฐานทัพทหารหลายแห่งและยึดครองเมืองหลายสิบแห่ง ในขณะนี้พวกเขายังอ้างอีกว่าได้ควบคุมดินแดนมากกว่าครึ่งหนึ่งของเมียนมาแล้ว ตั้งแต่ป่าที่ราบลุ่มไปจนถึงเชิงเขาหิมาลัย  

หากกลุ่มกบฏสามารถรุกเข้าสู่ใจกลางของประเทศได้ (ซึ่งไม่แน่ใจนัก) และโค่นล้มกองทัพที่ยึดพม่าไว้ได้นานกว่าครึ่งศตวรรษไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอำนาจมากเท่ากับการทำลายประเทศชาติ แต่ขอบเขตอันกว้างใหญ่ของมันหลุดออกจากการควบคุมจากศูนย์กลางอย่างถาวร

“เราต้องการอิสรภาพจากกองทัพเมียนมา ฉันยอมเสียสละตัวเองเพื่อสิ่งนั้น”

อองซานซูจี อดีตนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยบอก

กองกำลังป้องกันชาติกะเรนนี หรือ K.N.D.F. เป็นกองกำลังเยาวชนติดอาวุธในรัฐกะเรนนี รัฐที่เล็กที่สุดของเมียนมา และเป็นสถานที่เกิดการสู้รบดุเดือดที่สุด  

“K.N.D.F. และกองกำลังติดอาวุธพันธมิตรจะสามารถควบคุมกะเรนนีทั้งหมดได้ในไม่ช้า ทำให้เป็นรัฐแรกในเมียนมาที่หลุดพ้นจากการควบคุมของรัฐบาลเผด็จการทหาร” นักวิเคราะห์ทางทหารกล่าว

ragtag-resistance-sees-the-tide-turning-in-a-forgotten-war-SPACEBAR-Photo01.jpg
Photo: Photo by Handout / KARENNI NATIONALITIES DEFENSE FORCE (KNDF) / AFP

ในการรุกทั่วประเทศต่อเนื่องกันตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว กลุ่มกบฏได้ขับไล่รัฐบาลเผด็จการจากพื้นที่กว้างใหญ่ทางภาคเหนือ ตะวันตก และตะวันออกของเมียนมา อีกทั้งในเดือนนี้ยังยึด ‘เมียวดี’ เมืองการค้าสำคัญบริเวณชายแดนไทยได้อีกด้วย 

เมื่อเผชิญกับการต่อต้านจากหลายด้าน รัฐบาลทหารก็ประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ว่ากำลังดำเนินการเกณฑ์ทหารทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวทุกคนในประเทศ หลังมีทหารหนีทัพแปรพักตร์จำนวนมากท่ามกลางการโจมตีของกลุ่มกบฏที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น 

แต่ถึงกระนั้นสงครามกลางเมืองของเมียนมาก็ยังห่างไกลจากความสนใจของนานาชาติที่ยังคงติดอยู่กับความขัดแย้งในยูเครนและฉนวนกาซา 

ความไม่เท่าเทียมดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้กับประชาชนชาวเมียนมาจำนวน 55 ล้านคน ซึ่งในช่วงหลายเดือนหลังรัฐประหารได้เรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงเพื่อปกป้องประชากรกลุ่มเปราะบาง ในประเทศ ทว่ากลับไม่มีประเทศใดที่ยอมรับรัฐบาลเงาที่สนับสนุนประชาธิปไตยของเมียนมา  

แม้ว่าสถานการณ์ของพวกเขาจะไม่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก แต่กลุ่มแพทย์ ทนายความ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ครู นักบินกองทัพอากาศ และคนอื่นๆ ก็ได้หลบหนีไปยังพื้นที่ที่ถูกยึดครองโดยกลุ่มกบฏเพื่อให้ความเชี่ยวชาญแก่กลุ่มต่อต้านติดอาวุธ ซึ่งปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวหลายพันคนที่อาศัยอยู่ในป่าของเมียนมา และอีกหลายพันคนอยู่ในแนวรบด้านหน้า  

“การมองหาความช่วยเหลือจากสหประชาชาติ และจากรัฐบาลระหว่างประเทศ ก็เหมือนกับการเดินในความมืด เราต้องลงมือเองเพื่อหนีจากนรกขุมนี้” ลินน์นีโจ นักศึกษาแพทย์บอกกับสำนักข่าว The New York Times

ragtag-resistance-sees-the-tide-turning-in-a-forgotten-war-SPACEBAR-Photo02.jpg
Photo: Photo by MANAN VATSYAYANA / AFP

การรัฐประหารเมื่อ 3 ปีที่แล้วเริ่มต้นด้วยการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและการจับกุมคณะรัฐมนตรีพลเรือนของเมียนมา รวมทั้ง อองซาน ซูจี “ภายใน 20 วันหลังการรัฐประหาร มีผู้ประท้วงและนักโทษการเมืองมากกว่า 4,800 รายถูกสังหาร และประชาชนถูกจับกุมแล้ว 26,500 ราย” ตามการระบุของสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (พม่า)  

“เราสูญเสียทั้งชีวิต อนาคตทั้งหมดของเรา สิทธิมนุษยชน สิทธิพลเมืองที่ถูกละเมิดทุกวัน” ลินน์นีโจบอก 

K.N.D.F. เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มกบฏมีความกระตือรือร้นและกำลังใจจนสามารถขับไล่กองทัพขนาดใหญ่ เกินขอบเขตและขีดจำกัดของกองทหารอาสาสมัครได้อย่างไร  

ปัจจุบันนี้ ประชากรมากกว่า 80% ของรัฐกะเรนนีต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ ในขณะที่กองทัพเมียนมาถอยทัพ แต่ก็กระจายกองกำลังเหมือนเมล็ดข้าว

“เราพยายามประท้วงอย่างสันติ แต่ภาษาเดียวที่กองทัพเมียนมาเข้าใจคือ ‘กระสุน’…การต่อต้านด้วยอาวุธเป็นวิธีเดียวที่การปฏิวัติของเราจะประสบความสำเร็จ”

รองผู้บัญชาการ เมาอิ โพ ไทยเก สมาชิกชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์บามาร์กล่าว

อย่างไรก็ดี กองกำลังกะเรนนีกล่าวเมื่อปลายเดือนมีนาคมว่า พวกเขายึดครองพื้นที่ 90% ของรัฐ ขณะที่ทหารเมียนมาเรียกพลเรือนว่าเป็น ‘ผู้ก่อการร้าย’ และข่มขู่พวกเขาด้วยการโจมตีทางอากาศและปืนใหญ่ระยะไกล 

Photo by Manan VATSYAYANA / AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์