‘Swing State’ 7 สมรภูมิเดือดเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะชี้ชะตาประธานาธิบดีคนที่ 47

4 พ.ย. 2567 - 10:27

  • SPACEBAR พาไปส่อง 7 สมรภูมิเลือกตั้งสหรัฐฯ ชี้ชะตาประธานาธิบดีคนที่ 47

  • ทำความรู้จัก ‘Swing State’ คืออะไร? ปีนี้มีรัฐไหนบ้าง? ทำไมถึงสำคัญขนาดชี้ชะตาผู้นำคนใหม่ได้

seven-swing-states-set-to-decide-2024-us-election-SPACEBAR-Hero.png

นับถอยหลังอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมงแล้วสำหรับการเลือกตั้งครั้งสำคัญของคนอเมริกันในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ทั่วโลกจะได้รู้แล้วว่าระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน และ กมลา แฮร์ริส จากเดโมแครต ใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 แน่นอนว่าทิศทางการดำเนินนโยบายของผู้นำคนใหม่นี้จะต้องมีผลกระทบต่อโลก (อ่านเพิ่มเติม)

ทว่าในปีนี้มีถึง 7 รัฐสมรภูมิเลือกตั้งสำคัญที่เรียกว่า ‘Swing State’ หรือ รัฐที่ประชากรมีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันในจำนวนใกล้เคียงกัน โดยผลสำรวจพบว่า พลเมืองจากรัฐเหล่านี้สนับสนุนแคนดิเดตจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันสลับกันไปมา อีกทั้งแคนดิเดตยังมีคะแนนที่สูสีกันห่างกันเพียงไม่กี่จุดเปอร์เซ็นต์ นั่นจึงเป็นเหตุให้แคนดิเดตจากทั้ง 2 พรรคดังกล่าวทุ่มเทลงพื้นที่หาเสียงอย่างเต็มที่ในรัฐสมรภมิเลือกตั้งเหล่านี้และมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด 

ในปี 2024 เชื่อกันว่า 7 รัฐที่จะเป็นคะแนนเสียงสำคัญ และชี้ชะตาของแคนดิเดตจากทั้ง 2 พรรค ได้แก่ : 

  • แอริโซนา 
  • จอร์เจีย 
  • มิชิแกน 
  • เนวาดา 
  • นอร์ทแคโรไลนา 
  • เพนซิลเวเนีย
  • วิสคอนซิน

ทำไมรัฐสมรภูมิเลือกตั้ง ‘Swing State’ ถึงสำคัญ?

seven-swing-states-set-to-decide-2024-us-election-SPACEBAR-Photo01.png
Photo: Photo by Giorgio Viera / AFP

‘Swing State’ มีความสำคัญเนื่องจากรัฐเกือบทั้งหมดใช้ระบบ ‘ผู้ชนะกินรวบ’ (winner takes all) ในการจัดสรรคะแนนเสียงของรัฐในการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แม้ว่าผู้สมัครคนหนึ่งจะชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนที่ห่างกันเพียงเล็กน้อย เหมือนกับที่ไบเดนทำได้ในรัฐจอร์เจียเมื่อปี 2020 

คณะผู้เลือกตั้ง (The Electoral College) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการกำหนดผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี และเป็นตัวแทนของแต่ละรัฐในการลงคะแนนเสียง 

เฉพาะในรัฐเมนและรัฐเนแบรสกาเท่านั้นที่คะแนนเสียงจะถูกจัดสรรตามสัดส่วนมากขึ้น โดยผู้แทนสองคนจะได้รับคำสั่งให้ลงคะแนนเสียงให้กับผู้ชนะโดยรวมในรัฐ และผู้แทนที่เหลือจะได้รับคำสั่งให้เป็นตัวแทนผลการเลือกตั้งในแต่ละเขตเลือกตั้งของรัฐสภา 

การถ่วงน้ำหนักของคะแนนเสียงเหล่านี้ หมายความว่าการชนะในรัฐ ‘Swing State’ ที่มีคะแนนพลิกกลับไปกลับมาอย่างฉิวเฉียดอาจส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้ง ทำให้คะแนนเสียงเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาตำแหน่งประธานาธิบดี 

ยกตัวอย่างเมื่อปี 2016 ในเคส ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งแม้ว่าจะได้รับคะแนนเสียงมากกว่าผู้สมัครคนอื่น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะชนะการเลือกตั้ง ในบางรัฐ ตำแหน่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็มีความสำคัญพอๆ กับการเลือกผู้สมัคร 

ปี 2020 พรรคไหนที่ได้คะแนนไปจาก 7 รัฐสมรภูมิเลือกตั้ง

seven-swing-states-set-to-decide-2024-us-election-SPACEBAR-Photo02.png

-แอริโซนา-

  • พลเมือง : 7.4 ล้านคน 
  • ปี 2020 ไบเดน จากเดโมแครตชนะ 10,000 เสียง 
  • คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) 11 เสียง 
  • เลือกตั้ง 2024 มีแนวโน้มเลือกทรัมป์ จากรีพับลิกันมากกว่า

เนื่องจากรัฐแอริโซนามีพรมแดนยาวติดกับเม็กซิโกเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ ทำให้รัฐนี้มีปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดด้าน ‘ภูมิศาสตร์’ และกลายเป็นชนวนปัญหาการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย แม้ว่าจำนวนผู้ข้ามพรมแดนจะลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก็ตาม 

ในรัฐบาลไบเดน แฮร์ริสที่ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่บรรเทาปัญหาชายแดนโดยการแก้ปัญหาที่ต้นตอของปัญหากับเพื่อนบ้านของอเมริกา แต่หลายคนเชื่อว่าแฮร์ริสล้มเหลวในภารกิจนี้ ซึ่งนั่นทำให้ทรัมป์ใช้ทุกโอกาสเพื่อโจมตีประเด็นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และให้คำมั่นว่า จะดำเนินการ ‘ปฏิบัติการเนรเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ’ หากเขาได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง 

-จอร์เจีย-

  • พลเมือง : 11 ล้านคน 
  • ปี 2020 ไบเดน จากเดโมแครตชนะ 13,000 เสียง 
  • คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) 16 เสียง 
  • เลือกตั้ง 2024 มีแนวโน้มเลือกแฮร์ริส จากเดโมแครตมากกว่า

ในปี 2020 เป็นไบเดนที่ได้รับคะแนนเสียงในรัฐจอร์เจีย ถือเป็นครั้งแรกที่พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งในรัฐนี้นับตั้งแต่ปี 1992 แต่ด้วยคะแนนที่ห่างกันเพียง 0.2% นับเป็นการแข่งขันที่สูสีอย่างไม่น่าเชื่อ 

เนื่องจากประชากร 1 ใน 3 ของจอร์เจียเป็นคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ซึ่งถือเป็นสัดส่วนประชากรผิวสีที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ และเชื่อกันว่าพลเมืองกลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญที่ทำให้ไบเดนพลิกสถานการณ์ชนะการเลือกตั้งในปี 2020 แน่นอนว่าในปี 2024 ก็มีความโน้มเอียงว่าคะแนนเสียงส่วนใหญ่จะเป็นของแฮร์ริส 

แต่ถึงกระนั้นก็มีรายงานว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวสีบางคนนั้นผิดหวังในตัวไบเดน ขณะที่ทีมหาเสียงของแฮร์ริสยังคงหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา 

-มิชิแกน-

  • พลเมือง : 10 ล้านคน 
  • ปี 2020 ไบเดน จากเดโมแครตชนะ 150,000 เสียง 
  • คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) 15 เสียง 
  • เลือกตั้ง 2024 มีแนวโน้มเลือกทรัมป์ จากรีพับลิกันมากกว่า

รัฐนี้ขึ้นชื่อในเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท Ford, General Motors และ Chrysler มีความสำคัญต่อภูมิภาคนี้ แต่การรุกล้ำของรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่มีการแข่งขันสูงต้องหยุดชะงักลงเมื่อไม่นานนี้เนื่องจากนโยบายภาษีศุลกากรของไบเดน 

แม้ว่ารัฐมิชิแกนจะมี ‘เกร็ตเชน วิทเมอร์’ ผู้ว่าการรัฐจากพรรคเดโมแครต ซึ่งได้รับความนิยมและเป็นเสี้ยนหนามต่อพรรครีพับลิกันมาอย่างยาวนาน แต่ในการเลือกตั้งขั้นต้นของประธานาธิบดีในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมากลับพบว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 101,000 คนเลือกที่จะ ‘ไม่แสดงเจตนา’ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อไบเดน ซึ่งดูจะเป็นงานยากของแฮร์ริสที่ต้องเรียกคะแนนสนับสนุนกลับมา  

นอกจากนี้ แฮร์ริสยังต้องโน้มน้าวใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันเชื้อสายอาหรับจำนวนมากในรัฐนี้ด้วย แต่คะแนนสนับสนุนของพรรคเดโมแครตกำลังตกที่นั่งลำบากเนื่องจากพรรคนี้สนับสนุนอิสราเอลในการทำสงครามกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา 

-เนวาดา-

  • พลเมือง : 3.2 ล้านคน 
  • ปี 2020 ไบเดน จากเดโมแครตชนะ 34,000 เสียง 
  • คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) 6 เสียง 
  • เลือกตั้ง 2024 มีแนวโน้มเลือกทรัมป์ จากรีพับลิกันมากกว่า

ปัญหา ‘การย้ายถิ่นฐาน’ เป็นปัญหาสำคัญสำหรับรัฐเนวาดา เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ชายแดนทางใต้ ปัจจุบันประชากรจำนวนเกือบ 1 ใน 3 เป็นชาวฮิสแปนิก (กลุ่มประชากรละติน) 

แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเกิดการสร้างงานขึ้นมากมายนับตั้งแต่ไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี แต่การฟื้นตัวหลังโควิดในเนวาดากลับช้ากว่าที่อื่นๆ ในขณะเดียวกัน เนวาดายังมีอัตราการว่างงานสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากรัฐแคลิฟอร์เนียและเขตโคลัมเบีย  

ขณะที่ทรัมป์ให้คำมั่นว่า หากเขากลับมามีอำนาจอีกครั้ง เขาจะกลับมาใช้นโยบายลดภาษีในทุกๆ ด้าน และมีกฎเกณฑ์น้อยลงซึ่งอาจดึงดูดใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้  

-นอร์ทแคโรไลนา-

  • พลเมือง : 10.8 ล้านคน 
  • ปี 2020 ทรัมป์ จากรีพับลิกันชนะ 74,000 เสียง 
  • คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) 16 เสียง 
  • เลือกตั้ง 2024 มีแนวโน้ม 50/50 ที่ทั้งทรัมป์ และแฮร์ริส จะชนะเลือกตั้ง

นักวิเคราะห์บางคนบอกว่าการเลือกตั้งในรัฐนี้เป็น ‘การชิงชัยกันแบบสูสี’ ก่อนที่ไบเดนจะถอนตัวออกจากแคนดิเดตเดโมแครตในเดือนกรกฎาคม ทรัมป์มีคะแนนนำมากในรัฐนี้ แต่แฮร์ริสก็สามารถเรียกคะแนนนิยมจนเกือบเสมอได้ ทั้งนี้พบว่า แคนดิเดตจากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งในรัฐนอร์ทแคโรไลนาแค่เพียงครั้งเดียวจากการเลือกตั้ง 11 ครั้งที่ผ่านมา 

รัฐนี้มีการเปลี่ยนแปลงทางประชากรครั้งใหญ่ จำนวนคนผิวขาวลดลงจาก 75% ในปี 1990 เป็นประมาณ 60% ในปัจจุบัน และในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ประชากรทั้งหมดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีผู้คนเข้ามาอาศัยที่หลากหลาย ตั้งแต่ทหารผ่านศึก ผู้เกษียณอายุ ไปจนถึงบัณฑิตจบใหม่ 

-เพนซิลเวเนีย-

  • พลเมือง : 13 ล้านคน 
  • ปี 2020 ไบเดน จากเดโมแครตชนะ 82,000 เสียง 
  • คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) 19 เสียง 
  • เลือกตั้ง 2024 มีแนวโน้ม 50/50 ที่ทั้งทรัมป์ และแฮร์ริส จะชนะเลือกตั้ง

ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่ารัฐเพนซิลเวเนียเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดในการเลือกตั้ง ซึ่งแฮร์ริสและทรัมป์พยายามหาเสียงอย่างหนัก แคนดิเดตทั้ง 2 คนและทีมหาเสียงต่างก็ปรากฏตัวในรัฐนี้มากกว่า 50 ครั้งนับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 

เศรษฐกิจเป็นปัญหาสำคัญที่นี่ เช่นเดียวกับที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นทั่วประเทศภายใต้การบริหารของไบเดน ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลง ขณะเดียวกัน ชาวเพนซิลเวเนียก็ไม่ใช่กลุ่มคนอเมริกันกลุ่มเดียวที่รู้สึกถึงแรงกดดันด้านค่าครองชีพอันเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อ แต่ราคาอาหารชำในรัฐเพนซิลเวเนียกลับพุ่งสูงขึ้นเร็วกว่าในรัฐอื่น 

อัตราเงินเฟ้อที่สูงทั่วสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลไบเดนอาจทำให้คะแนนนิยมของแฮร์ริสลดลง เนื่องจากผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงมีมุมมองต่อเศรษฐกิจในเชิงลบ 

-วิสคอนซิน-

  • พลเมือง : 5.9 ล้านคน 
  • ปี 2020 ไบเดน จากเดโมแครตชนะ 21,000 เสียง 
  • คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) 10 เสียง 
  • เลือกตั้ง 2024 มีแนวโน้ม 50/50 ที่ทั้งทรัมป์ และแฮร์ริส จะชนะเลือกตั้ง

ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า รัฐวิสคอนซินอาจเป็นรัฐที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากแคนดิเดตจากพรรคที่สาม ซึ่งหาเสียงต่อต้านนโยบายของทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน 

ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า การมีผู้สนับสนุนผู้สมัครจากพรรคการเมืองอิสระอย่าง โรเบิร์ต เอฟ.เคนเนดี จูเนียร์ เป็นจำนวนมากนั้นอาจส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงของแฮร์ริสหรือทรัมป์ แต่สุดท้ายในช่วงปลายเดือนสิงหาคม เคนเนดีกลับระงับการหาเสียงและหันมาสนับสนุนทรัมป์ 

ขณะเดียวกัน พรรคเดโมแครตก็เรียกร้องให้ถอดถอน จิลล์ สไตน์ แคนดิเดตจากพรรคกรีน ออกจากการเลือกตั้งในวิสคอนซิน โดยอ้างว่าพรรคไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายการเลือกตั้งของรัฐ 

“มันสำคัญจริงๆ...หากเราชนะวิสคอนซิน เราก็จะชนะทั้งหมด” ทรัมป์ กล่าว

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์