สิงคโปร์จะพิจารณาโทษ ‘เฆี่ยน’ พวกหลอกลวงเป็นการลงโทษสำหรับความผิดร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับ ‘การฉ้อโกง’ เนื่องจากความเสียหายร้ายแรงที่เกิดขึ้น และมูลค่าความเสียหายจากการฉ้อโกงในประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2024
ข้อมูลตัวเลขของกองกำลังตำรวจสิงคโปร์ระบุว่า ประชาชนในสิงคโปร์สูญเสียเงินจากการหลอกลวงอย่างน้อย 1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 2.7 หมื่นล้านบาท) ในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 70% จากปีก่อนหน้า
ซุนเซว่หลิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศเรื่องนี้ในสุนทรพจน์ระหว่างการอภิปรายเรื่องงบประมาณของกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 4 มีนาคม “เราจะพิจารณากำหนดให้ใช้ ‘การเฆี่ยน’ สำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงบางประเภท โดยคำนึงถึงความเสียหายร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้”
นอกจากนี้ ซุนยังกล่าวด้วยว่า “มีการกำหนดโทษจำคุกสำหรับความผิดที่เอื้อให้เกิดการฉ้อโกง ซึ่งเป็นไปตามแนวทางปฏิบัติใหม่ล่าสุดที่คณะกรรมการที่ปรึกษาการพิพากษากำหนด โดยมีคดีหนึ่งที่ถูกจำคุกสูงสุดถึง 19 เดือน”
ซุนเตือนว่าผู้หลอกลวงได้อัปเกรดแผนการของพวกเขาแล้ว ถึงแม้จะมีมาตรการป้องกันหลายประการที่บังคับใช้อยู่ในอุตสาหกรรมการธนาคารแล้วก็ตาม แต่ชาวสิงคโปร์ควรหลีกเลี่ยงสกุลเงินดิจิทัล “พวกเขาเริ่มขอให้เหยื่อแปลงเงินเป็นสกุลเงินดิจิทัลก่อนทำการโอน ซึ่งเป็นการหลบเลี่ยงมาตรการรักษาความปลอดภัยทางธนาคารของเรา” พร้อมเสริมว่ากรณีที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลคิดเป็นเกือบ 25% ของการสูญเสียจากการหลอกลวงทั้งหมด
สิงคโปร์ได้เพิ่มกฎหมายเพื่อรับมือกับคดีฉ้อโกงและอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในเดือนมกราคม สิงคโปร์ยังผ่านร่างกฎหมายที่อนุญาตให้ตำรวจควบคุมบัญชีธนาคารของเหยื่อที่มีแนวโน้มจะตกเป็นเป้าหมายการหลอกลวง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องพวกเขาจากการฉ้อโกงที่ดำเนินการจากระยะไกล
ข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่า การหลอกลวงด้านการลงทุนเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียส่วนใหญ่ในปีที่แล้วที่ 28.8% รองลงมาคือ :
- การหลอกลวงด้านการจ้างงาน 14%
- การหลอกลวงแอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 13.6%
- การหลอกลวงโดยใช้มัลแวร์ 11.6%
แม้ว่าในปีที่แล้ว คดีมากกว่า 70% จะสูญเสียเงินน้อยกว่า 5,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 1.25 แสนบาท) แต่โดยรวมแล้วจำนวนเงินที่สูญเสียทั้งหมดก็เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากคดีจำนวนเล็กน้อยที่มีการสูญเสียจำนวนมาก
เหยื่อรายหนึ่งสูญเสียเงินสกุลเงินดิจิทัลไป 125 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 3.14 พันล้านบาท) หลังจากที่เขาคลิกลิงก์สัมภาษณ์ปลอม และถูกขอให้เรียกใช้สคริปต์บนแล็ปท็อปของเขา ตามข้อมูลของ CNA สคริปต์ดังกล่าวเป็นโค้ดที่เป็นอันตรายซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่กระเป๋าเงินสกุลเงินดิจิทัล
นอกจากนี้ ซุนยังประกาศว่าจะมีการเพิ่มมาตรการตรวจจับกิจกรรมบัญชีม้าในปีนี้ “เราได้ดำเนินการปราบปรามพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเป็นช่องทางหลักที่นักต้มตุ๋นจากต่างประเทศใช้ในการฟอกเงินที่ได้มาโดยมิชอบและโอนออกจากสิงคโปร์”
ซุนเตือนว่า ใครก็ตามที่แสวงหากำไรง่ายๆ ด้วยการโอนซิมการ์ด หรือบัญชีธนาคารให้กับคนแปลกหน้า ขณะเดียวกันก็ทำเป็น ‘ไม่รู้ไม่เห็น’ ต่อสิ่งที่บัตรเหล่านั้นถูกนำไปใช้ ถือเป็นการละเมิดกฎหมาย “ขอชี้แจงให้ชัดเจนว่านี่คืออาชญากรรม และผู้ที่นำซิมการ์ด หรือบัญชีธนาคารไปใช้เพื่อหลอกลวงผู้อื่นมีโทษจำคุก การอ้างว่าไม่รู้เรื่องไม่ได้ช่วยให้คุณพ้นผิด”
เมื่อปีที่แล้ว กองกำลังตำรวจสิงคโปร์ (SPF) ได้ทำการสืบสวนผู้ลักลอบโอนเงิน และผู้หลอกลวงมากกว่า 8,000 รายจากหน่วยบังคับใช้กฎหมายปราบปรามการหลอกลวงทั่วทั้งประเทศ 25 แห่ง ในจำนวนนี้ มีผู้ถูกตั้งข้อกล่าวหาในศาลมากกว่า 660 ราย และหากพบว่ามีความผิดจะต้องรับโทษจำคุก
ในคดีหนึ่งพบว่า ผู้ต้องหาได้เงิน 1,000 ริงกิต (ราว 7,600 บาท) จากการแชร์การเข้าถึงบัญชีธนาคารทางอินเทอร์เน็ตของเขา โดยไม่ได้ดำเนินตามขั้นตอนที่สมเหตุสมผล ต่อมาบัญชีธนาคารดังกล่าวถูกนำไปใช้ฟอกเงินที่ได้จากการก่ออาชญากรรมมากกว่า 160,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.3 ล้านบาท) “ผู้ต้องหาคดีนี้ถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกตัดสินจำคุก 6 เดือน” ซุน กล่าว
ซุนย้ำว่าการหลอกลวงถือเป็นปัญหาที่น่ากังวลอย่างยิ่งทั่วโลก และเป็นปัญหาที่สิงคโปร์ต้องต่อสู้มานานหลายปี แม้จะมีความพยายามต่างๆ ที่ทำให้แอปธนาคารมีการป้องกันมัลแวร์ และการบล็อกการโทรจากหมายเลขที่ทราบว่าเป็นการหลอกลวง แต่ยอดเงินรวมที่สูญเสียไปจากการหลอกลวงก็ยังคงแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ในปีที่แล้ว “ผู้คนจำนวนมากมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ และรัฐบาลก็เช่นกัน เราต้องเพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าในการต่อสู้กับการหลอกลวงนี้” ซุน กล่าว
(Photo by CHAIDEER MAHYUDDIN / AFP)