นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ของไทย ขึ้นปกและให้สัมภาษณ์นิตยสารชื่อดังระดับโลกอย่าง TIME โดยบนภาพปกนั้นนิตยสาร TIME พาดหัวว่า “เดอะ เซลส์แมน นายกรัฐมนตรีไทย เศรษฐา ทวีสิน เปิดกว้างสำหรับธุรกิจในประเทศที่รู้สึกว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลังการเลือกตั้งของเขา”
และหนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคือ คอนเสิร์ต เทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่นายกฯ เศรษฐาบอกกับ TIME ในการให้สัมภาษณ์สื่อตะวันตกครั้งแรกในประเทศไทยว่า “สิงคโปร์ฉลาดมาก เป็นผมผมก็จะทำแบบเดียวกัน จริงๆ ผมเชื่อว่าไทยมีข้อเสนอให้มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่กับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เท่านั้น แต่รวมถึงคนดังระดับเอลิสต์คนอื่นๆ ด้วย เทย์เลอร์ สวิฟต์ มีหลายคน”
ความมุ่งมั่นในการพา เทย์เลอร์ สวิฟต์ มาประเทศไทยเป็นเพียงหนึ่งในประเด็นการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ TIME เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีประด็นน่าสนใจอีก 5 ประเด็นคือ
ไม่เลือกข้างระหว่างรัสเซียกับยูเครน
นายกฯ เศรษฐาต้อการคงสถานะ “ความเป็นกลาง” ในสงครามรัสเซีย-ยูเครน และแก้ต่างกรณีที่เชิญประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียมาเยือนไทยเมื่อครั้งที่ผู้นำทั้งสองคนพบปะกันที่กรุงปักกิ่งเมื่อเดือนตุลาคม
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ เราไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรง เรายึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด เราอยู่เคียงข้างสันติภาพ เพราะเราเชื่อว่าประชาคมระหว่างประเทศจะต้องแบ่งปันสันติภาพร่วมกันเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”
นายกฯ เศรษฐากล่าวต่อว่า “สถานการณ์ในยูเครนทำให้โลกเปลี่ยนไปสู่การแบ่งขั้ว ซึ่งกดดันให้หลายประเทศ รวมทั้งไทยต้องเลือกข้าง สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์สำหรับความพยายามของเราในการสร้างสันติภาพและความมั่นคง ประเทศไทยเชื่อว่าหนทางในการแก้ปัญหาคือ กระชับความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับนานาชาติ แทนการแบ่งโลกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย”
มาตรา 112 จะยังอยู่ต่อไป
TIME ระบุว่า นายกฯ เศรษฐาเป็นผู้ปกป้องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย หรือ lèse-majesté หรือมาตรา 112 ซึ่งมีโทษจำคุกที่รุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกนั่นคือ จำคุก 15 ปี
นับตั้งแต่ปี 2020 มีคนกว่า 200 คนถูกตั้งข้อหามาตรา 112 จากการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเดินขบวนสนับสนุนประชาธิปไตยหรือการแสดงความคิดเก็นในโซเชียลมีเดีย รวมทั้งเด็กหญิงวัย 14 ปี และอดีตข้าราชการวัย 87 ปี
“กฎหมายทุกฉบับได้รับความเคารพและบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันในประเทศไทย รวมถึงมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาด้วย การตัดสินความบริสุทธิ์หรือความผิดกระทำผ่านฝ่ายตุลาการ ทุกคนมีสิทธิได้รับการพิจารณาอย่างชอบธรรมตามกฎหมาย ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรและไม่สามารถแทรกแซงฝ่ายตุลาการ”
ต้องการแก้ปัญหาสงครามกลางเมืองเมียนมา
นายกฯ เศรษฐารับปากเป็นหัวหอกในความพยายามสร้างสันติภาพในเมียนมาซึ่งอยู่ท่ามกลางสงครามกลางเมืองอันโชกเลือดตั้งแต่การรัฐประหารมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 และกล่าวอีกว่า ไทยมีพรมแดนร่วมกับเมียนมา 2,416 กิโลเมตร ไทยจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียหลัก แม้ว่าสันติภาพจะนำมาซึ่งผลประโยชน์แก้ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศก็ตาม
“อาเซียนเห็นพ้องกันว่าไทยจะเป็นผู้นำ” นายกฯ เศรษฐาพูดถึงการเจรจาสันติภาพ “ผมเชื่อว่าเร็วๆ นี้เราจะมีทางออกสำหรับเมียนมาที่สันติและเป็นหนึ่งเดียวกัน ในระหว่างนี้เรายังมีความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามแนวชายแดนที่เราจำเป็นต้องดูแล”
นอกเหนือจากประเด็นเรื่องมนุษยธรรมแล้ว นายกฯ เศรษฐายังกล่าวอีกว่า สันติสุขยังดีกลับธุรกิจด้วย “อาเซียนมีประชากร 650 ล้านคน ในจำนวนนี้ 10% เป็นชาวเมียนมา พูดง่ายๆ คือ พวกเขาเป็นสมาชิกที่ไม่มีประสิทธิภาพของภูมิภาคนี้ มาคุยกันเรื่องศักยภาพของภูมิภาคนี้ถ้าเรามีเมียนมาที่สงบและเป็นหนึ่งเดียวกัน”
ผมเป็นนายกฯ (ตอนนี้)
TIME ระบุว่า นายกฯ เศรษฐาได้รับการยืนยันว่าเป็นนายกฯ ในวันเดียวกับที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ก่อตั้งพรรคเพื่อไทยเดินทางกลับประเทศไทยหลังลี้ภัย 15 ปี โดยนายกฯ เศรษฐาเผยว่า เขาต่อสายหาทักษิณหลังทักษิณได้รับการปล่อยตัว และยินดีที่ได้รับคำแนะนำจากทักษิณและอดีตนายกฯ คนอื่นๆ อย่างไรก็ดี นายกฯ เศรษฐายืนยันว่า “ผมคือคนคุม”
ถึงอย่างนั้น แพรทองธาร ลูกสาวของทักษิณก็ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ ตั้งแต่แรก จึงทำให้เกิดการคาดการณ์กันว่าเส้นทางการเมืองของนายกฯ เศรษฐากำลังจะจบลง แต่นายกฯ เศรษฐาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการคาดการณ์ดังกล่าว และบอกกับ TIME ว่า แพรทองธารเป็น “ผู้หญิงที่มีความมุ่งมั่นและมีความสามารถมาก ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งเธอจะลงชิงเก้าอี้นายกฯ แต่ระหว่าง 4 ปีนี้ เก้าอี้นายกฯ เป็นของผม”
แดงพันธุ์แท้
ผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยมักจะโบกธงสีแดงเข้ม และแม้จะเพิ่งเข้าร่วมพรรคเมื่อปี 2022 แต่สีแดงก็เป็นสีที่ตรงใจนายกฯ เศรษฐาอยู่แล้ว นายกฯ เศรษฐาเผยกับ TIME ว่าเขาเป็นแฟนลิเวอร์พูล ซึ่งสวมเสื้อสีแดง และไม่กังวลต่อการลาออกของ เจอร์เก้น คลอปป์
“ผมคิดว่าขาลาออกด้วยเหตุผลที่ดี เพราะเขาอิ่มตัวแล้ว หากเขายังอยู่ต่อผมก็ไม่แน่ใจว่าเราจะยังได้ผลลัพธ์เหมือนเดิมมั้ย จริงๆ ผมกังวลรื่องการเปลี่ยนมาเน ฟีร์มีนู ซาลาห์ และนักตะเลือดใหม่ที่กำลังจะเข้ามามากกว่า”
