หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 25 ปีเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว ไต้หวันก็เผชิญกับแผ่นดินไหวมากกว่า 80 ครั้งบริเวณเขตเทศมณฑลฮวาเหลียนทางตะวันออกของไต้หวันตั้งแต่ช่วงดึกวันจันทร์ (22 เม.ย.) ถึงช่วงเช้าตรู่วันอังคาร (23 เม.ย.) ซึ่งได้รับความเสียหายจากอาฟเตอร์ช็อกหลายสิบครั้ง แต่มีรายงานความเสียหายเพียงเล็กน้อย และไม่มีผู้เสียชีวิต ขณะที่ ‘TSMC’ บริษัทผลิตชิปรายใหญ่เผยว่า “ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน”
เทศมณฑลฮวาเหลียนซึ่งเป็นพื้นที่ในชนบทและมีประชากรเบาบางได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวขนาด 7.2 เมื่อวันที่ 3 เมษายน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 ราย และตั้งแต่วันนั้นก็เกิดอาฟเตอร์ช็อกอีกมากกว่า 1,000 ครั้ง
อาคารต่างๆ ทั่วพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือ ตะวันออก และตะวันตกของไต้หวัน รวมถึงในเมืองหลวงกรุงไทเปสั่นสะเทือนตลอดทั้งคืน โดยวัดขนาดรุนแรงที่สุดได้ 6.3
สำนักงานอุตุนิยมวิทยากลางของไต้หวันเผยว่า “แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นหลายครั้งตั้งแต่บ่ายวันจันทร์ (ตามเวลาท้องถิ่น) เป็นอาฟเตอร์ช็อกจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 3 เมษายน”
“อาฟเตอร์ช็อกดังกล่าวเป็นการ ‘ปล่อยพลังงานจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว’ และคาดว่าจะมีมากกว่านี้ แม้ว่าอาจจะไม่รุนแรงก็ตาม…เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักทั่วไต้หวันในสัปดาห์นี้ ผู้คนในฮวาเหลียนจึงต้องเตรียมพร้อม”
อู่เชียนฟู่ ผู้อำนวยการศูนย์แผ่นดินไหว บอกกับผู้สื่อข่าว
หน่วยดับเพลิงฮวาเหลียนระบุว่า “อาคาร 2 หลัง ซึ่งไม่มีผู้คนอยู่อาศัยแล้วหลังจากได้รับความเสียหายเมื่อวันที่ 3 เมษายน ได้รับความเสียหายเพิ่มเติมและกำลังเอนเอียง”
ขณะเดียวกัน บริษัทผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลกอย่าง ‘TSMC’ (Taiwan Semiconductor Manufacturing Co) ซึ่งมีโรงงานตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของไต้หวันเผยว่า “พนักงานบางคนในโรงงานจำนวนไม่มากถูกอพยพออกไป แต่สิ่งอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยทำงานได้ตามปกติและบุคลากรทุกคนปลอดภัย…ขณะนี้ เราไม่คาดว่าจะมีผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินงาน”
ในเขตภูเขาฮวาเหลียน มีรายงานการปิดถนนบางส่วนภายหลังเกิดเหตุหินถล่ม ขณะที่ทางรัฐบาลได้สั่งหยุดงานและปิดโรงเรียนชั่วคราวในวันนั้น
อย่างไรก็ดี ไต้หวันตั้งอยู่ใกล้รอยต่อของแผ่นเปลือกโลกสองแผ่นและมีแนวโน้มที่จะเกิดแผ่นดินไหว ทั้งนี้ ในปี 1999 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.3 คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 2,000 ราย และในปี 2016 มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 รายในเหตุแผ่นดินไหวทางตอนใต้ของไต้หวัน
Photo by CNA / AFP