กา ‘ก้าวไกล’ ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม เพราะ ชนะแต่ไม่ได้เป็นรัฐบาล!
อย่างที่หลายคนทราบกันดีแล้วในช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้ (2 ส.ค.) ซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พรรคอันดับ 1 อย่างก้าวไกลถูกบีบให้ไปเป็นฝ่ายค้าน อีกทั้ง 8 พรรคร่วมที่เคยจะจัดตั้งเลือกตั้งรัฐบาลผสมด้วยกันต่างก็สลาย MOU ไปอย่างไม่มีชิ้นดีขณะที่พรรคอันดับ 2 อย่างเพื่อไทยออกมาประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า พรรคจะเสนอชื่อ เศรษฐา ทวีสิน เป็นแคนดิเดตนายกฯ คนที่ 30 ในการโหวตเลือกนายกฯ วันศุกร์ (4 ส.ค.) นี้ ซึ่งมีเป้าหมายจัดตั้งรัฐบาลโดยที่ไม่มีพรรคก้าวไกลและเน้นย้ำว่าไม่ต้องการแก้กฎหมายมาตรา 112
CNA รายงานว่า การที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกลถูกขัดขวางในสภาถึง 2 ครั้ง เป็นเพราะ นโยบายที่จะแก้กฎหมาย ม.112 ซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันกษัตริย์
“หลังจากพูดคุยกับพรรคอื่นๆ และ ส.ว.แล้ว เป็นที่ชัดเจนว่าจุดยืนของพรรคก้าวไกลที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็น ‘สถาบันสำคัญของชาติ’ นั้นเป็นอุปสรรคสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล” ชลน่านกล่าวเสริม
“รัฐบาลที่นำโดยพรรคของเขาจะไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 แต่จะเน้นไปที่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง” ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าว
Reuters บอกว่า ก้าวไกลไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการจัดตั้งรัฐบาลผสมอีกต่อไป แม้จะได้ที่นั่งมากที่สุดในการเลือกตั้งก็ตาม แต่ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างไม่หยุดยั้งจากพรรคสนับสนุนทหารและสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ถูกแต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารซึ่งตื่นตระหนกกับวาระการปฏิรูป
“คุณทรยศประชาชน” ผู้ประท้วงบางคนตะโกนโดยอ้างถึงพรรคเพื่อไทย
ทั้งนี้ นักวิจารณ์กล่าวว่ากฎหมายนี้ถูกใช้โดยกลุ่มอนุรักษนิยมมานานแล้วเพื่อยับยั้งผู้เห็นต่าง “การคัดค้านข้อเสนอของพรรคในการแก้ไขกฎหมายเป็นข้ออ้างในการปิดกั้นอำนาจ…พรรคเพื่อไทยไม่ได้ขอให้ก้าวไกลถอยจากนโยบายปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แต่ทุกฝ่ายที่ร่วมเจรจาด้วยไม่ต้องการให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล” ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกลกล่าว
ด้าน ALJAZEERA ระบุว่า วุฒิสภามองว่าตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ค่านิยมของฝ่ายอนุรักษนิยม ทั้งนี้ วุฒิสมาชิกหลายคนกล่าวว่า ‘พวกเขาจะไม่ลงคะแนนให้พิธา เนื่องจากพรรคของเขาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายที่ห้ามการหมิ่นประมาทราชวงศ์’ ขณะที่นักวิจารณ์กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวนั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในทางที่ผิดมาอย่างยาวนาน
ผลลัพธ์ที่ (อาจ) จะเกิดขึ้น!

“พรรคยืนหยัดในการปฏิรูปในวงกว้างที่ประเทศไทยต้องการอย่างมากในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา รวมถึง ‘การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ทหาร ระบบราชการ ตุลาการ และการผูกขาดของธุรกิจขนาดใหญ่”
“นี่คือการเปลี่ยนแปลงของประเทศอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพรรคก้าวไกลจึงกลายเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันและกลุ่มกรเมืองอนุรักษนิยม” ศาสตราจารย์ฐิตินันท์อธิบาย พร้อมเสริมว่า “วาระดังกล่าวจะถูกมองว่าเป็นหนึ่งในการปฏิรูปตามปกติในประเทศอื่นๆ”
“ในทางกลับกัน พรรคเพื่อไทยเป็น ‘พรรคการเมืองหลากสไตล์’ ซึ่งปรับตัวเข้ากับการเข้าๆ ออกๆ สภา หรือแม้แต่การถูกโค่นตำแหน่งตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา”
“พวกเขามีวิธีการทำงานที่แตกต่างออกไป ดังนั้น พรรคเพื่อไทยและก้าวไกลจึงเป็นพันธมิตรที่ผิดธรรมชาติ และไม่ว่าในกรณีใดก็ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมทางที่แปลกมาก จึงไม่น่าประหลาดใจที่พรรคเพื่อไทยจะแยกตัวออกไป และผลักไสให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านอย่างโดดเดี่ยว”
“หากกลุ่มการเมืองเก่าเห็นว่าก้าวไกลเป็นภัยคุกคามมากเกินไป พรรคก็อาจถูกยุบได้…หากเป็นเช่นนั้น เราจะเห็นการประท้วงจำนวนมากในประเทศไทย แต่ถ้าก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน และพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ รวมถึงพรรคอื่นๆ ทั้งหมด มันก็เหมือนเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ มันเกือบจะเหมือนกับการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของพรรคไทยรักไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้วซึ่งนำโดยอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ศาสตราจารย์ฐิตินันท์กล่าวเสริม
“นั่นอาจเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เพียงเพราะวาระของก้าวไกลนั้นล้ำหน้ากว่าใคร”
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ฐิตินันท์ยังตั้งข้อสังเกตว่า ณ ตอนนี้ การประท้วงเป็นเพียง ‘การแสดงความคับข้องใจและความผิดหวัง’ แต่จะยังคงอยู่ในระดับที่ ‘จัดการได้’ ตราบใดที่พรรคยังคงไม่ถูกแตะต้อง…ผู้สนับสนุนก้าวไกลจะเห็นว่า ส.ส. ของพวกเขายังทำงานเพื่อประชาชนได้ และก้าวไกลก็ยังคงสามารถแนะนำและเสนอแนะการปฏิรูปในรัฐสภาได้” ศาสตราจารย์ฐิตินันท์กล่าวทิ้งท้าย