ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่เคยปรานีโลกเราเลยสักครั้ง แม้ว่าหลายประเทศจะพยายามแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการลดการปล่อยคาร์บอน แต่ก็เป็นเรื่องยากซะเหลือเกิน มันจึงจำเป็นต้องมีแผนสำรองนั่นก็คือ ‘การรับมือกับผลกระทบจากโลกรวน’
แล้วรู้ไหม...ว่าที่ ‘ออสเตรเลีย’ มีเมืองใต้ดินเอาไว้สำหรับ ‘หลบอากาศร้อนจัด’ ด้วย เมืองนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของอากาศร้อนมากจนนกที่บินอยู่ตกลงมาจากท้องฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางอย่างจำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อป้องกันไม่ให้ร้อนเกินไป
ยินดีต้อนรับสู่เมืองใต้ดินคูเบอร์ เพดี (Coober Pedy)...

‘Coober Pedy’ แปลจากคำพื้นเมืองออสเตรเลียว่า ‘คนขาวในหลุม’
ในเมืองชนบทห่างไกลที่ไม่ธรรมดาแห่งหนึ่ง! ทุกสิ่งล้วนอยู่ใต้พื้นดิน ตั้งแต่โบสถ์ โรงแรม ไปจนถึงที่ตั้งแคมป์ เมืองเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองแอดิเลด ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย เดิมทีเคยเป็นเหมืองแร่โอปอล (opals / อัญมนีล้ำค่า) ในช่วงฤดูร้อนอุณหภูมิจะสูงถึง 48-52 องศาเซลเซียส ขณะที่ในคืนฤดูหนาว อากาศเย็นจะเย็นลงซึ่งอุณหภูมิจะลดลงถึง 2-3 องศาฯ ภูมิประเทศส่วนใหญ่ค่อนข้างแห้งแล้ง เป็นหินทราย มีต้นไม้น้อย และมีกองดินรูปทรงเกือบจะคล้ายพีระมิดกระจัดกระจายเต็มไปหมด
ปัจจุบันที่เมืองแห่งนี้มีประชากรอาศัยอยู่ราว 1,500 คน และมีสิ่งปลูกสร้างบนดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากอุณหภูมิที่ร้อนจัด คนท้องถิ่นจำนวนมากคิดเป็น 60% จึงนิยมสร้างบ้านอยู่ใต้ดิน โดยจะมีปล่องระบายอากาศโผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน และส่วนใหญ่สร้างบ้านใต้ดินโดยใช้หินทราย

บ้านใต้ดินจะต้องมีความลึกอย่างน้อย 4 เมตร (13 ฟุต) เพื่อป้องกันไม่ให้หลังคาพังทลาย ตัวบ้านจะมีอุณหภูมิเย็นสบายอยู่ที่ 23 องศาฯ ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้อยู่อาศัยเหนือพื้นดินที่จะต้องทนต่อฤดูร้อนที่ร้อนจัดเหมือนอยู่ในเตาอบ แต่อุณหภูมิบ้านใต้ดินจะยังคงเย็นสบายตลอด 24 ชั่วโมงและตลอดทั้งปี
ภายในบ้านใต้ดินก็สร้างไม่ต่างจากบ้านบนดินคือ มีห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องน้ำ แต่ความแตกต่างก็คือ ‘บ้านใต้ดินเหล่านี้จะรักษาอุณหภูมิให้เย็นลง จึงไม่จำเป็นต้องมีเครื่องปรับอากาศ’
ผู้คนมักใช้ชีวิตอยู่ใต้ดินเพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า รวมถึงเลือกที่จะเล่นกอล์ฟในตอนเย็นตอนที่อุณหภูมิเย็นลงเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีที่ตั้งแคมป์อยู่ใต้พื้นดินลงไปไม่กี่เมตร และผู้คนสามารถกางเต็นท์ได้

นอกเหนือจากความสะดวกสบายแล้ว ข้อได้เปรียบที่สำคัญประการหนึ่งของการใช้ชีวิตใต้ดินก็คือ ‘ประหยัดเงินไปได้เยอะ’ เนื่องจากบ้านใต้ดินผลิตไฟฟ้าเองทั้งหมด โดย 70% ใช้พลังงานลมและแสงอาทิตย์ “การมีชีวิตอยู่บนพื้นดินจะต้องจ่ายเงินมหาศาลสำหรับการทำความร้อนและความเย็น ซึ่งมักจะมีอุณหภูมิสูงกว่า 50 องศาฯ ในฤดูร้อน" เจสัน ไรท์ คนท้องถิ่นที่ดูแลธุรกิจตั้งแคมป์ใต้ดิน Riba's เผย
นอกจากนี้ บ้านใต้ดินหลายแห่งในเมืองแห่งนี้มีราคาไม่แพงนัก ในระหว่างการประมูลเมื่อเร็วๆ นี้ บ้าน 3 ห้องนอนโดยเฉลี่ยขายได้ในราคาประมาณ 40,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 9.78 แสนบาท)
ในส่วนบนพื้นดินจะมีร้านอาหาร บาร์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ปั๊มน้ำมัน และมีตึกอาคารให้เห็นบ้าง แต่จะอยู่ห่างกันมาก
แต่บ้านใต้ดินก็มีความเสี่ยง...
ผู้คนที่นี่ค่อนข้างชื่นชอบวิถีชีวิตของตัวเองมาก แต่ถึงกระนั้น บ้านใต้ดินก็มีความเสี่ยงเช่นกัน คนท้องถิ่นรายหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว BBC เกี่ยวกับบ้านของเขาที่พังทลายลง “มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก มันสร้างอยู่บนพื้นที่ไม่แข็งแรง”