ปีนี้ นอกจากจะเป็นปีที่เศรษฐกิจไม่สดใสแล้ว ยังเป็นปีที่ปรากฏการณ์การลาออกจากงานครั้งใหญ่ของมนุษย์เงินเดือนทั้งในเอเชีย อเมริกาเหนือและภูมิภาคอื่นๆ ยังร้อนแรงต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ประเดิมด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์อย่างบริษัทไมโครซอฟท์
สัตยา นาเดลลา ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ) ไมโครซอฟท์ ประกาศแผนเลิกจ้างพนักงานประมาณ 10,000 คน โดยบอกว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่สองของปีนี้
นาเดลลาให้เหตุผลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกซึ่งจะยังคงอยู่ในภาวะซบเซา และเป็นช่วงขาลงไปอีกนานหลายปี
สำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่สังเกตได้อย่างชัดเจนจากระดับอุปสงค์ แม้ยังไม่มีการระบุอย่างเป็นทางการว่าพนักงานในสายงานใดบ้างจะได้รับผลกระทบจากการปลดออกครั้งนี้ แต่ซีอีโอของไมโครซอฟท์ยืนยันว่า บริษัทจะยังคงจ้างบุคลากรที่ถือเป็นกำลังหลักขององค์กรเอาไว้ต่อไป
การประกาศเลิกจ้างของไมโครซอฟท์เป็นไปในทางเดียวกับที่มีรายงานออกมาก่อนหน้านี้ แต่การเลิกจ้างพนักงานครั้งนี้ถือเป็นสัดส่วนยังไม่ถึง 5% ของจำนวนพนักงานไมโครซอฟท์ทั่วโลก ซึ่งมีจำนวนประมาณ 221,000 คน
นับตั้งแต่ปี 2019 มีรายงานว่า ไมโครซอฟท์จ้างพนักงานเพิ่มประมาณ 75,000 คน แต่เลิกจ้างพนักงานจำนวนหนึ่งตลอดระยะเวลานั้นด้วยเหมือนกัน
ด้านอินไซเดอร์ เว็บไซต์ข่าวรายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวว่า ทวิตเตอร์วางแผนเลิกจ้างพนักงานในฝ่ายผลิตภัณฑ์โซเชียลมีเดียจำนวน 50 คนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
การเลิกจ้างพนักงานครั้งนี้ มีขึ้นในช่วง 6 สัปดาห์ หลังจากที่ อีลอน มัสก์ ซีอีโอทวิตเตอร์บอกกับพนักงานว่า จะไม่มีการปรับลดจำนวนพนักงานลงอีก อาจทำให้จำนวนพนักงานของทวิตเตอร์ลดลงและเหลือไม่ถึง 2,000 คน
ด้านทวิตเตอร์ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวชิ้นนี้
มัสก์ ได้เข้าซื้อกิจการของทวิตเตอร์เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา และดำเนินการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์และองค์กรอย่างรวดเร็ว ซึ่งบริษัทได้เปิดตัวเครื่องหมายถูกสีขาวบนพื้นหลังสีฟ้าที่ได้รับการรับรองโดยทวิตเตอร์ในรูปแบบบริการที่ต้องชำระเงิน และได้เลิกจ้างพนักงานไปประมาณ 50%
นอกจากนี้ มัสก์ยังเปิดเผยในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาว่า ทวิตเตอร์เผชิญกับปัญหารายได้ที่ทรุดตัวลงอย่างหนัก เนื่องจากผู้โฆษณาพากันถอนตัวออกไป
อินฟอร์เมชัน สื่อออนไลน์รายงานเมื่อวัที่ 18 ม.ค. ว่า ผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายโฆษณารายหนึ่งระบุในที่ประชุมพนักงานว่า รายได้ของทวิตเตอร์ในไตรมาส 4/2022 ร่วงลงประมาณ 35% เหลืออยู่ที่ 1.025 พันล้านดอลลาร์
การปรับลดจำนวนพนักงานของทวิตเตอร์จนถึงขณะนี้ ซึ่งรวมถึงพนักงานที่ทำงานในแผนกกลั่นกรองเนื้อหา ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะมีคำพูดแสดงความเกลียดชังปรากฏบนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์เพิ่มมากขึ้น
สัตยา นาเดลลา ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ) ไมโครซอฟท์ ประกาศแผนเลิกจ้างพนักงานประมาณ 10,000 คน โดยบอกว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่สองของปีนี้
นาเดลลาให้เหตุผลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกซึ่งจะยังคงอยู่ในภาวะซบเซา และเป็นช่วงขาลงไปอีกนานหลายปี
สำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่สังเกตได้อย่างชัดเจนจากระดับอุปสงค์ แม้ยังไม่มีการระบุอย่างเป็นทางการว่าพนักงานในสายงานใดบ้างจะได้รับผลกระทบจากการปลดออกครั้งนี้ แต่ซีอีโอของไมโครซอฟท์ยืนยันว่า บริษัทจะยังคงจ้างบุคลากรที่ถือเป็นกำลังหลักขององค์กรเอาไว้ต่อไป
การประกาศเลิกจ้างของไมโครซอฟท์เป็นไปในทางเดียวกับที่มีรายงานออกมาก่อนหน้านี้ แต่การเลิกจ้างพนักงานครั้งนี้ถือเป็นสัดส่วนยังไม่ถึง 5% ของจำนวนพนักงานไมโครซอฟท์ทั่วโลก ซึ่งมีจำนวนประมาณ 221,000 คน
นับตั้งแต่ปี 2019 มีรายงานว่า ไมโครซอฟท์จ้างพนักงานเพิ่มประมาณ 75,000 คน แต่เลิกจ้างพนักงานจำนวนหนึ่งตลอดระยะเวลานั้นด้วยเหมือนกัน
ด้านอินไซเดอร์ เว็บไซต์ข่าวรายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวว่า ทวิตเตอร์วางแผนเลิกจ้างพนักงานในฝ่ายผลิตภัณฑ์โซเชียลมีเดียจำนวน 50 คนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
การเลิกจ้างพนักงานครั้งนี้ มีขึ้นในช่วง 6 สัปดาห์ หลังจากที่ อีลอน มัสก์ ซีอีโอทวิตเตอร์บอกกับพนักงานว่า จะไม่มีการปรับลดจำนวนพนักงานลงอีก อาจทำให้จำนวนพนักงานของทวิตเตอร์ลดลงและเหลือไม่ถึง 2,000 คน
ด้านทวิตเตอร์ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวชิ้นนี้
มัสก์ ได้เข้าซื้อกิจการของทวิตเตอร์เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา และดำเนินการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์และองค์กรอย่างรวดเร็ว ซึ่งบริษัทได้เปิดตัวเครื่องหมายถูกสีขาวบนพื้นหลังสีฟ้าที่ได้รับการรับรองโดยทวิตเตอร์ในรูปแบบบริการที่ต้องชำระเงิน และได้เลิกจ้างพนักงานไปประมาณ 50%
นอกจากนี้ มัสก์ยังเปิดเผยในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาว่า ทวิตเตอร์เผชิญกับปัญหารายได้ที่ทรุดตัวลงอย่างหนัก เนื่องจากผู้โฆษณาพากันถอนตัวออกไป
อินฟอร์เมชัน สื่อออนไลน์รายงานเมื่อวัที่ 18 ม.ค. ว่า ผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายโฆษณารายหนึ่งระบุในที่ประชุมพนักงานว่า รายได้ของทวิตเตอร์ในไตรมาส 4/2022 ร่วงลงประมาณ 35% เหลืออยู่ที่ 1.025 พันล้านดอลลาร์
การปรับลดจำนวนพนักงานของทวิตเตอร์จนถึงขณะนี้ ซึ่งรวมถึงพนักงานที่ทำงานในแผนกกลั่นกรองเนื้อหา ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะมีคำพูดแสดงความเกลียดชังปรากฏบนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์เพิ่มมากขึ้น

ขณะที่ลิงค์อิน ได้เผยแพร่รายงานสำรวจล่าสุดที่บ่งชี้ว่า พนักงานในเอเชียยังคงมีความมั่นใจในความสามารถของตนเองและพร้อมจะลาออกจากงานมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2022 ทำให้ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า The Great Resignation ที่ยังมีอยู่ในสหรัฐฯ ตอนนี้ เป็นปรากฏการณ์ในเอเชียด้วย
The Great Resignation คือกระแสการลาออกจำนวนมากของพนักงานในช่วงการระบาดของโควิด ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อโควิดซาและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว กระแสนี้เป็นสิ่งที่องค์กรต้องจับตาและเร่งเตรียมแผนรองรับ หากไม่อยากสูญเสียพนักงานมากความสามารถออกจากองค์กร
ผลสำรวจล่าสุด ที่เกิดจากการค้นหางานของผู้ใช้งานลิงค์อินจำนวนกว่า 4,000 คนทั่วประเทศสิงคโปร์ ออสเตรเลีย และอินเดีย บ่งชี้ว่า พนักงาน 63% ในอินเดีย และ 43% ในออสเตรเลียและสิงคโปร์ มีความเห็นว่า พวกเขามีความมั่นใจในการหางานใหม่มากกว่าปีที่แล้ว แม้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
สาเหตุหลักที่ทำให้พนักงานส่วนใหญ่อยากเปลี่ยนงานมาจาก 3 ปัจจัยคือ
1. เงินเฟ้อ ลิงค์อิน ระบุว่า ความกดดันจากเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่พุ่งสูง อาจผลักดันให้แรงงานหางานอื่นที่ให้ค่าจ้างมากกว่า จากผลการวิจัย พบว่า ความทะเยอทะยานหางานใหม่ที่มีรายได้ก้อนโตเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุผลหลักของการหางานอื่น
ผลสำรวจระบุวา แรงงาน 58% ในสิงคโปร์ 49% ในออสเตรเลีย และ 45% ในอินเดียบอกว่า พวกเขาสมัครใจที่จะยุติบทบาทการงานในปัจจุบันเพื่อไปทำงานที่ให้เงินตอบแทนค่าเหนื่อยที่มากกว่า
ขณะที่แบบสำรวจค่าตอบแทนประจำปีของเมอร์เซอร์ พบว่า บริษัทหลายแห่งในภูมิภาคนี้มีแผนจะเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานโดยเฉลี่ย 4.8% ในปีนี้ ส่วนบริษัทในอินเดียจะขึ้นเงินเดือนสูงสุด 9.1%
2. หาความลงตัวระหว่างชีวิตและการทำงาน แรงงานในอินเดีย สิงคโปร์ และออสเตรเลีย 30% บอกว่า การปรับสมดุลในการใช้ชีวิตและการทำงานเป็นกุญแจสำคัญต่อตลาดแรงงานในปีนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่นายจ้างในภูมิภาคนี้ควรกังวลคือ แรงงานที่ทำงานหนักมากเกินไป จนไม่มีความรู้สึกมุ่งมั่นกับงานปัจจุบันที่ทำอยู่
3. ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็นหนึ่งเหตุผลที่คนเลือกจะลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่เพื่อไปทำงานที่อื่นที่พวกเขามองว่าเป็นบริษัทที่มีอนาคตดีกว่า
The Great Resignation คือกระแสการลาออกจำนวนมากของพนักงานในช่วงการระบาดของโควิด ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อโควิดซาและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว กระแสนี้เป็นสิ่งที่องค์กรต้องจับตาและเร่งเตรียมแผนรองรับ หากไม่อยากสูญเสียพนักงานมากความสามารถออกจากองค์กร
ผลสำรวจล่าสุด ที่เกิดจากการค้นหางานของผู้ใช้งานลิงค์อินจำนวนกว่า 4,000 คนทั่วประเทศสิงคโปร์ ออสเตรเลีย และอินเดีย บ่งชี้ว่า พนักงาน 63% ในอินเดีย และ 43% ในออสเตรเลียและสิงคโปร์ มีความเห็นว่า พวกเขามีความมั่นใจในการหางานใหม่มากกว่าปีที่แล้ว แม้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
สาเหตุหลักที่ทำให้พนักงานส่วนใหญ่อยากเปลี่ยนงานมาจาก 3 ปัจจัยคือ
1. เงินเฟ้อ ลิงค์อิน ระบุว่า ความกดดันจากเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่พุ่งสูง อาจผลักดันให้แรงงานหางานอื่นที่ให้ค่าจ้างมากกว่า จากผลการวิจัย พบว่า ความทะเยอทะยานหางานใหม่ที่มีรายได้ก้อนโตเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุผลหลักของการหางานอื่น
ผลสำรวจระบุวา แรงงาน 58% ในสิงคโปร์ 49% ในออสเตรเลีย และ 45% ในอินเดียบอกว่า พวกเขาสมัครใจที่จะยุติบทบาทการงานในปัจจุบันเพื่อไปทำงานที่ให้เงินตอบแทนค่าเหนื่อยที่มากกว่า
ขณะที่แบบสำรวจค่าตอบแทนประจำปีของเมอร์เซอร์ พบว่า บริษัทหลายแห่งในภูมิภาคนี้มีแผนจะเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานโดยเฉลี่ย 4.8% ในปีนี้ ส่วนบริษัทในอินเดียจะขึ้นเงินเดือนสูงสุด 9.1%
2. หาความลงตัวระหว่างชีวิตและการทำงาน แรงงานในอินเดีย สิงคโปร์ และออสเตรเลีย 30% บอกว่า การปรับสมดุลในการใช้ชีวิตและการทำงานเป็นกุญแจสำคัญต่อตลาดแรงงานในปีนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่นายจ้างในภูมิภาคนี้ควรกังวลคือ แรงงานที่ทำงานหนักมากเกินไป จนไม่มีความรู้สึกมุ่งมั่นกับงานปัจจุบันที่ทำอยู่
3. ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็นหนึ่งเหตุผลที่คนเลือกจะลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่เพื่อไปทำงานที่อื่นที่พวกเขามองว่าเป็นบริษัทที่มีอนาคตดีกว่า