ผู้หญิงเอเชียเป็น ‘มะเร็งปอด’ เยอะขึ้นแม้ไม่สูบบุหรี่

10 มิ.ย. 2568 - 10:01

  • คนไทยกำลังให้ความสนใจกับ ‘โรคมะเร็ง’ อีกครั้ง หลังคนบันเทิงส่วนใหญ่ออกมาเล่าประสบการณ์การเป็นมะเร็ง ในเคสล่าสุดของ ‘คุณเอ๋ พรทิพย์ สกิดใจ’ ที่ตรวจเจอมะเร็งปอดระยะที่ 1 ทั้งๆ ที่ไม่ได้สูบบุหรี่

  • มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลกและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งอันดับหนึ่งในปี 2022 มีผู้ป่วยใหม่ประมาณ 2.5 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1.8 ล้านราย

ผู้หญิงเอเชียเป็น ‘มะเร็งปอด’ เยอะขึ้นแม้ไม่สูบบุหรี่

คนไทยกำลังให้ความสนใจกับ ‘โรคมะเร็ง’ อีกครั้ง หลังคนบันเทิงส่วนใหญ่ออกมาเล่าประสบการณ์การเป็นมะเร็ง ในเคสล่าสุดของ ‘คุณเอ๋ พรทิพย์ สกิดใจ’ ที่ตรวจเจอมะเร็งปอดระยะที่ 1 ทั้งๆ ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ 

มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลกและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งอันดับหนึ่งในปี 2022 มีผู้ป่วยใหม่ประมาณ 2.5 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1.8 ล้านราย แม้มะเร็งปอดที่เกิดจากการสูบบุหรี่ยังคงเป็นสาเหตุหลักของการวินิจฉัยทั่วโลก แต่การสูบบุหรี่นั้นลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ 

ในขณะที่จำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลง ทว่าอัตราการเกิดมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่นั้นกลับเพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปัจจุบันมีผู้ป่วยมะเร็งปอดในกลุ่มนี้ประมาณ 10-20% ของผู้ป่วยทั้งหมด 

“มะเร็งปอดในผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่กำลังได้รับการยอมรับว่าเป็นโรคที่แยกตัวออกจากมะเร็งปอดที่เกิดจากการสูบบุหรี่ โดยมีลักษณะทางโมเลกุลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจรักษาและผลลัพธ์ทางการแพทย์”

ดร.แอนเดรียส วิคกี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าว 

แม้อายุเฉลี่ยเมื่อได้รับการวินิจฉัยจะใกล้เคียงกับมะเร็งปอดในผู้สูบบุหรี่ แต่ผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า เช่น อายุ 30-35 ปี มักจะเป็นกลุ่มที่ไม่เคยสูบบุหรี่ 

ความแตกต่างอีกประการหนึ่งคือ ชนิดของมะเร็งที่พบ โดยก่อนปี 1950-1960 มะเร็งปอดชนิดที่พบบ่อยที่สุดคือ ‘squamous cell carcinoma’ ซึ่งเริ่มต้นจากเซลล์ที่บุผิวปอด แต่ในกลุ่มผู้ไม่เคยสูบบุหรี่ มะเร็งปอดเกือบทั้งหมดเป็น ‘adenocarcinoma’ (มะเร็งชนิดต่อม) ซึ่งเริ่มจากเซลล์ที่ผลิตเมือก และปัจจุบัน ‘adenocarcinoma’ เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดในทั้งผู้สูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่ 

มะเร็งชนิด ‘adenocarcinoma’ มักถูกวินิจฉัยในระยะที่ลุกลามแล้ว เนื่องจากก้อนเนื้อขนาดเล็กในปอดไม่แสดงอาการชัดเจน เช่น อาการไอเรื้อรัง เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หรือเสียงหวีดมักจะเกิดขึ้นเมื่อก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ หรือแพร่กระจายแล้ว นอกจากนี้ความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างการสูบบุหรี่และมะเร็งปอดซึ่งเคยมีมาอย่างยาวนาน อาจทำให้ผู้ไม่สูบบุหรี่ละเลยอาการและไม่รีบตรวจวินิจฉัยจนกว่าจะถึงระยะลุกลาม (ระยะ 3 หรือ 4) 

มะเร็งปอดในผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่นั้นพบได้บ่อยในผู้หญิงเช่นกัน ผู้หญิงที่ไม่เคยสูบบุหรี่มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ชายที่ไม่เคยสูบบุหรี่ถึงสองเท่า นอกจากลักษณะทางกายวิภาคของปอดและการสัมผัสสิ่งแวดล้อมแล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งอาจมาจากการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมของ ‘EGFR’ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะในผู้หญิงเอเชีย  

เซลล์มะเร็งปอดในผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มักมีการกลายพันธุ์หลายอย่างที่อาจเป็นสาเหตุของมะเร็ง ซึ่งเรียกว่า ‘การกลายพันธุ์ของไดรเวอร์’ (driver mutations) การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมเหล่านี้ขับเคลื่อนการเติบโตของเนื้องอก เช่น ยีน EGFR (epidermal growth factor receptor) ที่เข้ารหัสโปรตีนบนพื้นผิวของเซลล์...ส่วนเหตุผลที่การกลายพันธุ์ของไดรเวอร์เหล่านี้พบได้บ่อยในผู้ป่วยหญิง โดยเฉพาะผู้ที่มีเชื้อสายเอเชียนั้นยังไม่ชัดเจนนัก 

แต่ก็มีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าฮอร์โมนเพศหญิงอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยรูปแบบทางพันธุกรรมบางอย่างที่ส่งผลต่อการเผาผลาญเอสโตรเจนพบได้บ่อยกว่าในชาวเอเชียตะวันออก ข้อมูลนี้อาจอธิบายถึงอุบัติการณ์มะเร็งปอดที่มีการกลายพันธุ์ของ EGFR ที่สูงขึ้นในผู้หญิงเอเชียได้ แม้ว่าข้อมูลจะยังเป็นเพียงเบื้องต้นก็ตาม 

หลังจากค้นพบการกลายพันธุ์ที่สามารถนำไปสู่มะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ อุตสาหกรรมยาก็เริ่มพัฒนายาที่สามารถยับยั้งการทำงานของโปรตีนเหล่านั้นโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น สารยับยั้ง EGFR ตัวแรกเริ่มมีให้ใช้เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว และผู้ป่วยส่วนใหญ่มีการตอบสนองที่ดี อย่างไรก็ตาม การรักษามักนำไปสู่เซลล์มะเร็งที่ดื้อยา ส่งผลให้เนื้องอกกลับมาเป็นซ้ำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีความพยายามอย่างมากในการแก้ไขปัญหานี้ โดยมียาชนิดใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด 

ด้วยเหตุนี้ การพยากรณ์โรคสำหรับผู้ป่วยจึงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง “อัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยของผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ของไดรเวอร์ดังกล่าวในขณะนี้คือหลายปี เรามีผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบกำหนดเป้าหมายมานานกว่า 10 ปีแล้ว นี่เป็นก้าวสำคัญอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าอัตราการรอดชีวิตเฉลี่ยน้อยกว่า 12 เดือนเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว” ดร. วิคกี กล่าว 

เมื่อสัดส่วนของมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่เพิ่มขึ้น ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า “การพัฒนากลยุทธ์การป้องกันสำหรับประชากรกลุ่มนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง” มีการระบุปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ตัวอย่างเช่น การศึกษาพบว่าก๊าซเรดอนและควันบุหรี่มือสองสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ได้ 

นอกจากนี้ การสัมผัสกับควันจากการปรุงอาหาร หรือเตาที่เผาไหม้ไม้ หรือถ่านหินในห้องที่มีการระบายอากาศไม่ดี ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงนี้ได้เช่นกัน เนื่องจากผู้หญิงมักใช้เวลาอยู่ในบ้านมากกว่า จึงมีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อมลพิษทางอากาศภายในอาคารประเภทนี้ อย่างไรก็ตาม มลพิษทางอากาศภายนอกอาคารนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งกว่าในการเกิดโรคมะเร็งปอด 

มลพิษทางอากาศภายนอกอาคารจัดเป็นสาเหตุอันดับ 2 ของมะเร็งปอดทั้งหมด รองจากการสูบบุหรี่ งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษสูงมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศสะอาดกว่า 

สารอนุภาคขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) ซึ่งมีขนาดประมาณ 1 ใน 3 ของเส้นผมมนุษย์ มักพบในไอเสียจากยานพาหนะและควันจากเชื้อเพลิงฟอสซิล มีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดมะเร็งปอด นอกจากนี้ งานวิจัยยังแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างระดับ PM2.5 ที่สูงกับมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่และมีการกลายพันธุ์ของยีน EGFR 

ดร.วิลเลียม ฮิลล์ นักวิจัยจากห้องปฏิบัติการวิวัฒนาการมะเร็งและความไม่เสถียรของจีโนม สถาบันฟรานซิส คริก อธิบายว่า “เมื่อเราคิดถึงสารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อม เรามักคิดว่ามันก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ใน DNA เช่น ควันบุหรี่ที่ทำลาย DNA และนำไปสู่มะเร็งปอด” แต่การศึกษาของพวกเขาในปี 2023 เสนอว่า “PM2.5 ไม่ได้กลายพันธุ์ DNA โดยตรง แต่จะกระตุ้นเซลล์มะเร็งที่แฝงตัวอยู่ในปอดให้ตื่นตัวและเริ่มเข้าสู่ระยะแรกของมะเร็งปอด” 

“มลพิษทางอากาศและการกลายพันธุ์ของ EGFR ต่างก็จำเป็นสำหรับการเติบโตของเนื้องอก” ฮิลล์กล่าว การเข้าใจว่ามลพิษ PM2.5 ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมของเซลล์ที่มีการกลายพันธุ์อย่างไร เพื่อส่งเสริมการเติบโตของเนื้องอก อาจนำไปสู่แนวทางใหม่ในการป้องกันมะเร็งปอดได้ 

ความเชื่อมโยงระหว่างมลพิษทางอากาศและมะเร็งปอดไม่ใช่เรื่องใหม่ ในงานวิจัยสำคัญที่เชื่อมโยงการสูบบุหรี่กับมะเร็งปอดเมื่อปี 1950 ผู้เขียนได้เสนอว่ามลพิษภายนอกอาคารจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอาจเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่จนถึงปัจจุบันนโยบายส่วนใหญ่เน้นไปที่การควบคุมยาสูบเป็นหลัก แต่ 75 ปีต่อมา มลพิษทางอากาศก็เริ่มได้รับความสนใจในที่สุด 

“ประชากรโลกกว่า 99% อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ระดับมลพิษทางอากาศเกินกว่าข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO)”  

ในอนาคต จำนวนผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดอันเนื่องมาจากมลพิษทางอากาศอาจเพิ่มขึ้นในประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย ซึ่งปัจจุบันมีระดับมลพิษทางอากาศสูงที่สุดแห่งหนึ่ง จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในกรุงเดลีพบว่า ระดับ PM2.5 โดยเฉลี่ยสูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อตารางเมตร ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ WHO กำหนดถึง 20 เท่า 

การศึกษาของ IARC พบว่าในปี 2022 ในสหราชอาณาจักร มีผู้ป่วย 1,100 คนที่เป็นมะเร็งปอดชนิด ‘adenocarcinoma’ อันเป็นผลมาจากมลพิษทางอากาศ “แต่ไม่ใช่ทุกกรณีเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้นในผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่” แฮเรียต รัมเกย์ นักระบาดวิทยาและผู้ร่วมเขียนรายงานการศึกษากล่าว 

มะเร็งปอดยังเกิดขึ้นในผู้สูบบุหรี่ โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้บุหรี่แบบมีไส้กรอง “ยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้...จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อคลี่คลายปัจจัยต่างๆ และทำความเข้าใจด้วยว่าจะต้องสัมผัสกับมลพิษทางอากาศนานแค่ไหนจึงจะเกิดมะเร็งปอด” รัมเกย์ กล่าว 

Photo by : Shutterstock

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์