เมืองหลายพันแห่งในสหรัฐฯ อาจกลายเป็น ‘เมืองร้าง’ ภายในปี 2100

16 มิ.ย. 2567 - 00:00

  • เกือบครึ่งหนึ่งของเมืองเกือบ 30,000 แห่งในสหรัฐฯ จะเผชิญกับจำนวนประชากรบางประเภทลดลง

  • โดยจะสูญเสียประชากรไปราว 12-23% ของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้นภายในสิ้นศตวรรษนี้

thousands_of_us_cities_could_verge_becoming_ghost_towns_by_2100_SPACEBAR_Hero_93710a52f0.jpg

ในปี 2100 โลกของเราน่าจะดูแตกต่างไปจากปัจจุบันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และ AI ที่ในเวลานั้นมีการทำนายว่ามันอาจจะฉลาดกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ  

การศึกษาใหม่พบว่า “เกือบครึ่งหนึ่งของเมืองเกือบ 30,000 แห่งในสหรัฐฯ จะเผชิญกับจำนวนประชากรบางประเภทลดลง โดยจะสูญเสียประชากรไปราว 12-23% ของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้นภายในสิ้นศตวรรษนี้” 

จากการวิเคราะห์ระบุได้ว่า เมืองในอนาคตเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะคล้ายกับชุมชนที่แตกแยก เบาบางราวกับเมืองร้าง เนื่องจากจำนวนประชากรมีการเปลี่ยนแปลงเว้นแต่รัฐบาลท้องถิ่นและนักวางผังเมืองจะสามารถตอบสนองและปรับตัวให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้อยู่อาศัยได้

“ผลกระทบของการลดลงอย่างมากของจำนวนประชากรจะนำมาซึ่งความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งอาจนำไปสู่การหยุดชะงักในบริการขั้นพื้นฐาน เช่น การคมนาคม น้ำสะอาด ไฟฟ้า และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต...”

นักวิจัยเตือน

การลดลงของจำนวนประชากรในละแวกใกล้เคียงบางแห่งอาจทำให้ร้านขายของชำต้องปิดลง ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนอาหาร รวมไปถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกละเลยในเมืองต่างๆ ที่กำลังลดน้อยลงอาจทำให้ชุมชนขาดน้ำสะอาด เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในเมืองแจ็กสัน รัฐมิสซิสซิปปี ในปี 2021 

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่เมืองกำลังถดถอยเหล่านั้นส่งผลกระทบไปไกลเกินกว่าที่ อุตตารา สุตราทาห์ และเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนได้แก่ ลอว์ริน สเปียร์ริง และซีบิล แดริเบิล นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสาขาวิศวกรรมโยธาจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ในชิคาโก ตั้งใจที่จะศึกษาในตอนแรกนั่นก็คือ ‘ความท้าทายด้านการคมนาคมที่เมืองต่างๆ ในโลกกำลังถดถอย’ ขณะที่อิลลินอยส์เป็นรัฐหนึ่งที่อาจเผชิญกับปัญหานี้เมื่อจำนวนประชากรเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา 

ด้วยความทึ่งกับผลลัพธ์ที่ออกมา สุตราทาห์ และเพื่อนร่วมงานจึงได้ขยายการวิเคราะห์ให้ครอบคลุมทั้ง 50 รัฐ โดยอิงตามการคาดการณ์แนวโน้มประชากรจากข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ จาก 3 ช่วงเวลาในช่วง 20 ปี และชุดข้อมูล 2 ชุดที่รวมสถานการณ์สภาพภูมิอากาศในอนาคตที่เป็นไปได้ 5 สถานการณ์ นอกจากนี้มุมมองการศึกษาของพวกเขาไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเมืองใหญ่ที่สุดในอเมริกาเท่านั้น 

“การศึกษาส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่เมืองใหญ่ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เราสามารถประมาณขนาดของปัญหาได้” สุตราทาห์กล่าว 

ปัจจุบัน 43% ของเมืองในสหรัฐฯ กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาประชากรลดลง ซึ่งเป็นตัวเลขที่วิเคราะห์แล้วว่ามันจะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป นักวิจัยพบว่า มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์สภาพภูมิอากาศตามแบบจำลอง โดยเมืองมากถึง 64% อาจลดลงภายในปี 2100

thousands_of_us_cities_could_verge_becoming_ghost_towns_by_2100_SPACEBAR_Photo01_372f88b661.jpg

ขณะที่ทางภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือและมิดเวสต์มีแนวโน้มที่จำนวนประชากรในเมืองจะลดลงมากที่สุด อย่างไรก็ตาม การประมาณการแนวโน้มประชากรหลายทศวรรษข้างหน้ามีความไม่แน่นอน และการวิเคราะห์ไม่ได้สำรวจปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือสังคมที่เป็นตัวขับเคลื่อนแนวโน้มที่คาดการณ์ไว้ 

นี่ยังไม่รวมถึงการอพยพย้ายถิ่นภายในสหรัฐฯ ในยามที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ประชากรต้องย้ายถิ่นฐานเนื่องจากสถานที่ต่างๆ กลายเป็นที่อยู่อาศัยน้อยลง เนื่องจากความร้อนจัดหรือน้ำท่วมซ้ำแล้วซ้ำอีก 

นอกจากนี้ การวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า ภายในสิ้นศตวรรษนี้ คนอายุ 80 ปีทั่วโลกอาจมีจำนวนมากกว่าคนอายุต่ำกว่า 5 ปีด้วยซ้ำ และประมาณ 183 ประเทศจาก 195 ประเทศอาจกำลังเผชิญกับปัญหาจำนวนประชากรลดลง เนื่องจากอัตราการเจริญพันธุ์ลดลงต่ำกว่าอัตราการทดแทน 

ทั้งนี้ แต่ละเมืองจะมีวิถีทางของตัวเอง โดยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและการเปลี่ยนแปลงของประชากร ดังนั้นการวางแผนในท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งจำเป็น

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์