หากพูดถึงระเบิดนิวเคลียร์ หลายคนอาจนึกถึงเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิที่สร้างความรุนแรงมหาศาล รวมถึงบาดแผลในใจให้คนญี่ปุ่นเป็นเวลานาน แน่นอนว่าอานุภาพของมันทรงพลังและมีความรุนแรงมาก
ย้อนกลับไปในช่วงที่สงครามเย็นกำลังทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตต่างก็ทดสอบระเบิดที่มีอานุภาพการระเบิดมากกว่า 500 เท่าของที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างน้อย ซึ่งระเบิดนิวเคลียร์ส่วนใหญ่จะสร้างลูกไฟขนาดยักษ์ที่ก่อให้เกิดแสงวาบและคลื่นความร้อนที่แผดเผา ลูกไฟจะกลืนอากาศโดยรอบ และขยายตัวเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นในขณะที่กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากลูกไฟและอากาศร้อนลอยขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะค่อยๆ เล็กลงเนื่องจากเจอกับอากาศเย็นและอากาศที่หนาแน่นกว่าในชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดโครงสร้างหมวกเห็ด
อนุภาคอากาศและสิ่งสกปรกที่พัดผ่านศูนย์กลางของเมฆจะก่อตัวเป็น ‘ต้นกำเนิด’ กลายเป็นเมฆคล้ายรูปเห็ด เมื่อเวลาผ่านไป เมฆรูปเห็ดจะสลายไปและทิ้งกัมมันตภาพรังสีออกมาในรูปของอนุภาคนิวเคลียร์ เศษผง ฝุ่น และขี้เถ้า ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างถาวรต่อสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น
อันดับที่ 10 ไอวี่ไมค์ (Ivy Mike) / 1952
ในปี 1952 สหรัฐฯ ได้จุดระเบิดไมค์ซึ่งเป็นระเบิดไฮโดรเจนลูกแรก และเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการไอวี่ (Operation Ivy) ที่อาศัยปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันทำให้เกิดพลังงานระเบิดมากกว่าระเบิดปรมาณูที่ใช้นิวเคลียร์ฟิชชัน
การระเบิดนั้นรุนแรงกว่าปรมานูลิตเติลบอย (Little Boy) ที่ทิ้งที่ฮิโรชิมาในปี 1945 ถึง 700 เท่า
อันดับที่ 9 การทดสอบนิวเคลียร์แคสเซิลโรมิโอ (Castle Romeo) / 1954
การทดสอบ Castle Romeo เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการแคสเซิล (Operation Castle) ของการทดสอบนิวเคลียร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นที่หมู่เกาะมาร์แชลล์ และนับเป็นการทดสอบครั้งแรกที่ดำเนินการบนเรือท้องแบนในมหาสมุทร ด้วยแรงระเบิดขนาด 11,000 กิโลตัน ระบิดลูกนี้สร้างพลังงานระเบิดได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 4,000 กิโลตันถึง 2 เท่า
อันดับที่ 8 การทดสอบโซเวียต #123 / 1961
การทดสอบนิวเคลียร์ #123 เป็นหนึ่งในการทดสอบ 57 ครั้งที่ดำเนินการโดยสหภาพโซเวียตในปี 1961 ซึ่งการทดสอบเหล่านี้ส่วนใหญ่ดำเนินการที่หมู่เกาะโนวายาเซมลยา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซีย ระเบิดลูกนี้ปล่อยพลังงานระเบิด 12,500 กิโลตัน ซึ่งเพียงพอจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างภายในรัศมี 3.5 กิโลเมตร
อันดับที่ 7 การทดสอบแคสเซิลแยงกี (Castle Yankee) / 1954
Castle Yankee เป็นการทดสอบครั้งที่ 5 ในปฏิบัติการ Operation Castle โดยการระเบิดดังกล่าวถือเป็นการทดสอบนิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดแรงระเบิด 13,500 กิโลตัน ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 10,000 กิโลตัน และ 4 วันหลังการระเบิด สะเก็ดระเบิดก็มาถึงเม็กซิโกซิตี้ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 1,400 กม.
อันดับที่ 6 การทดสอบแคสเซิลบราโว (Castle Bravo) / 1954
การทดสอบ Castle Bravo ปฏิบัติการของ Castle Operation กลายเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดที่ทดสอบโดยสหรัฐฯ โดยบังอิญ ด้วยแรงระเบิดที่ก่อให้เกิดเมฆรูปเห็ดลอยสูงขึ้นไปถึง 40 กม.เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ผลการทดสอบในครั้งนั้นยังทำให้พื้นที่ 7,000 ตารางไมล์ถูกปนเปื้อน ทั้งยังพบร่องรอยการระเบิดในออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น และยุโรปด้วย
ย้อนกลับไปในช่วงที่สงครามเย็นกำลังทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตต่างก็ทดสอบระเบิดที่มีอานุภาพการระเบิดมากกว่า 500 เท่าของที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างน้อย ซึ่งระเบิดนิวเคลียร์ส่วนใหญ่จะสร้างลูกไฟขนาดยักษ์ที่ก่อให้เกิดแสงวาบและคลื่นความร้อนที่แผดเผา ลูกไฟจะกลืนอากาศโดยรอบ และขยายตัวเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นในขณะที่กำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากลูกไฟและอากาศร้อนลอยขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะค่อยๆ เล็กลงเนื่องจากเจอกับอากาศเย็นและอากาศที่หนาแน่นกว่าในชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดโครงสร้างหมวกเห็ด
อนุภาคอากาศและสิ่งสกปรกที่พัดผ่านศูนย์กลางของเมฆจะก่อตัวเป็น ‘ต้นกำเนิด’ กลายเป็นเมฆคล้ายรูปเห็ด เมื่อเวลาผ่านไป เมฆรูปเห็ดจะสลายไปและทิ้งกัมมันตภาพรังสีออกมาในรูปของอนุภาคนิวเคลียร์ เศษผง ฝุ่น และขี้เถ้า ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างถาวรต่อสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น
ต่อไปนี้คือการระเบิดนิวเคลียร์ครั้งใหญ่ที่สุด 10 ครั้งในประวัติศาสตร์
อันดับที่ 10 ไอวี่ไมค์ (Ivy Mike) / 1952
ในปี 1952 สหรัฐฯ ได้จุดระเบิดไมค์ซึ่งเป็นระเบิดไฮโดรเจนลูกแรก และเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการไอวี่ (Operation Ivy) ที่อาศัยปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันทำให้เกิดพลังงานระเบิดมากกว่าระเบิดปรมาณูที่ใช้นิวเคลียร์ฟิชชัน
การระเบิดนั้นรุนแรงกว่าปรมานูลิตเติลบอย (Little Boy) ที่ทิ้งที่ฮิโรชิมาในปี 1945 ถึง 700 เท่า
อันดับที่ 9 การทดสอบนิวเคลียร์แคสเซิลโรมิโอ (Castle Romeo) / 1954
การทดสอบ Castle Romeo เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการแคสเซิล (Operation Castle) ของการทดสอบนิวเคลียร์สหรัฐฯ ซึ่งเกิดขึ้นที่หมู่เกาะมาร์แชลล์ และนับเป็นการทดสอบครั้งแรกที่ดำเนินการบนเรือท้องแบนในมหาสมุทร ด้วยแรงระเบิดขนาด 11,000 กิโลตัน ระบิดลูกนี้สร้างพลังงานระเบิดได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 4,000 กิโลตันถึง 2 เท่า
อันดับที่ 8 การทดสอบโซเวียต #123 / 1961
การทดสอบนิวเคลียร์ #123 เป็นหนึ่งในการทดสอบ 57 ครั้งที่ดำเนินการโดยสหภาพโซเวียตในปี 1961 ซึ่งการทดสอบเหล่านี้ส่วนใหญ่ดำเนินการที่หมู่เกาะโนวายาเซมลยา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซีย ระเบิดลูกนี้ปล่อยพลังงานระเบิด 12,500 กิโลตัน ซึ่งเพียงพอจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างภายในรัศมี 3.5 กิโลเมตร
อันดับที่ 7 การทดสอบแคสเซิลแยงกี (Castle Yankee) / 1954
Castle Yankee เป็นการทดสอบครั้งที่ 5 ในปฏิบัติการ Operation Castle โดยการระเบิดดังกล่าวถือเป็นการทดสอบนิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดแรงระเบิด 13,500 กิโลตัน ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 10,000 กิโลตัน และ 4 วันหลังการระเบิด สะเก็ดระเบิดก็มาถึงเม็กซิโกซิตี้ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 1,400 กม.
อันดับที่ 6 การทดสอบแคสเซิลบราโว (Castle Bravo) / 1954
การทดสอบ Castle Bravo ปฏิบัติการของ Castle Operation กลายเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดที่ทดสอบโดยสหรัฐฯ โดยบังอิญ ด้วยแรงระเบิดที่ก่อให้เกิดเมฆรูปเห็ดลอยสูงขึ้นไปถึง 40 กม.เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ผลการทดสอบในครั้งนั้นยังทำให้พื้นที่ 7,000 ตารางไมล์ถูกปนเปื้อน ทั้งยังพบร่องรอยการระเบิดในออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น และยุโรปด้วย
อันดับที่ 5, 4, 3 การทดสอบของโซเวียต #173, #174, #147 / 1962
ในปี 1962 สหภาพโซเวียตได้ทำการทดสอบนิวเคลียร์ทั้งหมด 78 ครั้ง และพบว่ามี 3 ครั้งที่ทำให้เกิดการระเบิดที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับที่ 5, 4 และ 3 ในประวัติศาสตร์ นั่นก็คือการทดสอบ #173, #174 และ #147 ซึ่งแต่ละครั้งก่อให้เกิดแรงระเบิด 20,000 กิโลตัน แต่เพราะการทดสอบเหล่านี้เป็นความลับจึงไม่มีการเผยแพร่รูปภาพหรือวิดีโอใดๆ
อันดับที่ 2 การทดสอบโซเวียต #219 / 1962
การทดสอบ #219 เป็นการทดสอบนิวเคลียร์ในบรรยากาศโดยใช้ขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) โดยระเบิดที่ความสูง 2.3 ไมล์ (3.8 กม.) เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งนับเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับ 2 โดยมีแรงระเบิดถึง 24,200 กิโลตัน และรัศมีการทำลายล้างประมาณ 41 กม.
อันดับที่ 1 ซาร์บอมบา / 1961
การทดสอบซาร์บอมมา (Tsar Bomba) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘Big Ivan’ เป็นการทดสอบที่ต้องการเครื่องบินที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพราะมันหนักเกินกว่าจะบรรทุกบนเครื่องบินทั่วไปได้ โดยติดระเบิดไว้กับร่มชูชีพขนาดยักษ์
การทดสอบในครั้งนี้เป็นการระเบิดที่มีขนาด 50,000 กิโลตัน ทำลายหมู่บ้านร้างที่อยู่ห่างออกไป 34 ไมล์ (55 กม.) และทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.0-5.25 ในบริเวณโดยรอบ ในเบื้องต้นมันถูกออกแบบให้เป็นระเบิดขนาด 100,000 กิโลตัน แต่สหภาพโซเวียตกลับลดแรงระเบิดของมันลงครึ่งหนึ่ง
จะเห็นได้ว่าระเบิด 2 ลูกที่ทิ้งลงที่ฮิโรชิมาและนางาซากินั้นมีผลกระทบร้ายแรงก็จริง แต่การระเบิดของพวกมันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดที่กล่าวมาข้างต้นทั้ง 10 ครั้งเท่านั้น
ในปี 1962 สหภาพโซเวียตได้ทำการทดสอบนิวเคลียร์ทั้งหมด 78 ครั้ง และพบว่ามี 3 ครั้งที่ทำให้เกิดการระเบิดที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับที่ 5, 4 และ 3 ในประวัติศาสตร์ นั่นก็คือการทดสอบ #173, #174 และ #147 ซึ่งแต่ละครั้งก่อให้เกิดแรงระเบิด 20,000 กิโลตัน แต่เพราะการทดสอบเหล่านี้เป็นความลับจึงไม่มีการเผยแพร่รูปภาพหรือวิดีโอใดๆ
อันดับที่ 2 การทดสอบโซเวียต #219 / 1962
การทดสอบ #219 เป็นการทดสอบนิวเคลียร์ในบรรยากาศโดยใช้ขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) โดยระเบิดที่ความสูง 2.3 ไมล์ (3.8 กม.) เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งนับเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับ 2 โดยมีแรงระเบิดถึง 24,200 กิโลตัน และรัศมีการทำลายล้างประมาณ 41 กม.
อันดับที่ 1 ซาร์บอมบา / 1961
การทดสอบซาร์บอมมา (Tsar Bomba) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘Big Ivan’ เป็นการทดสอบที่ต้องการเครื่องบินที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพราะมันหนักเกินกว่าจะบรรทุกบนเครื่องบินทั่วไปได้ โดยติดระเบิดไว้กับร่มชูชีพขนาดยักษ์
การทดสอบในครั้งนี้เป็นการระเบิดที่มีขนาด 50,000 กิโลตัน ทำลายหมู่บ้านร้างที่อยู่ห่างออกไป 34 ไมล์ (55 กม.) และทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.0-5.25 ในบริเวณโดยรอบ ในเบื้องต้นมันถูกออกแบบให้เป็นระเบิดขนาด 100,000 กิโลตัน แต่สหภาพโซเวียตกลับลดแรงระเบิดของมันลงครึ่งหนึ่ง
จะเห็นได้ว่าระเบิด 2 ลูกที่ทิ้งลงที่ฮิโรชิมาและนางาซากินั้นมีผลกระทบร้ายแรงก็จริง แต่การระเบิดของพวกมันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของการระเบิดครั้งใหญ่ที่สุดที่กล่าวมาข้างต้นทั้ง 10 ครั้งเท่านั้น
