หนึ่งในทีมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ‘สตีเฟน มิแรน’ ประธานคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจทำเนียบขาวได้เสนอให้มีการ ‘ปฏิรูประบบการค้าและการเงินโลก’ โดยเน้นไปที่กลยุทธ์ที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยมิแรนได้สรุปแนวคิดของเขาไว้ในบทความยาว 41 หน้าที่มีชื่อว่า ‘คู่มือผู้ใช้ในการปรับโครงสร้างระบบการค้าโลก’
ข้อตกลงมาร์อาลาโก
สำหรับมิแรน การกำหนดภาษีศุลกากรและการเคลื่อนตัวออกจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่านั้นอาจส่งผลกระทบในวงกว้างที่สุดเมื่อเทียบกับนโยบายอื่นๆ ในรอบหลายทศวรรษ โดยจะปรับเปลี่ยนระบบการค้าและการเงินโลกไปอย่างสิ้นเชิง
บทความของมิแรนโต้แย้งว่าดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้การส่งออกของสหรัฐฯ แข่งขันได้น้อยลง และการนำเข้ามีราคาถูกลง ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ผลิตของสหรัฐฯ เสียเปรียบเนื่องจากทำให้การลงทุนสร้างโรงงานในสหรัฐฯ ลดลง
“ความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อระเบียบเศรษฐกิจในปัจจุบันมีรากฐานมาจากการประเมินค่าเงินดอลลาร์ที่สูงเกินจริงอย่างต่อเนื่องและเงื่อนไขการค้าที่ไม่สมดุล” มิแรน เขียน
โดยทั่วไปแล้วดอลลาร์ถือเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัยสำหรับนักลงทุนในกรณีเกิดสงคราม หรือวิกฤต และในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ดอลลาร์ก็อ่อนค่าลงเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าของทรัมป์
ดอลลาร์ถูกใช้โดยบริษัทและรัฐบาลต่างชาติเพื่อซื้อน้ำมัน เครื่องบิน และสินค้าอื่นๆ ในราคาเป็นเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นมีแนวโน้มที่จะทำให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้สหรัฐฯ มีศักยภาพในการกู้ยืมที่แทบไม่มีขีดจำกัด
มิแรนเรียกร้องให้มีข้อตกลงที่คล้ายกับข้อตกลง ‘Plaza Accord’ ที่ลงนามในนิวยอร์กปี 1985 โดยสหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนีตะวันตก และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นข้อตกลงสำคัญที่อนุญาตให้มีการอ่อนค่าของดอลลาร์ที่มีมูลค่าสูงเกินจริงในขณะนั้นอย่างควบคุมได้เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ
มิแรนกล่าวว่า “ข้อตกลงใหม่นี้อาจเรียกว่า ‘ข้อตกลงมาร์อาลาโก’ ตามชื่อรีสอร์ตของทรัมป์ในฟลอริดา ประธานาธิบดีทรัมป์มองว่าภาษีศุลกากรจะสร้างอิทธิพลในการเจรจาเพื่อทำข้อตกลง...จินตนาการได้ง่ายขึ้นว่า หลังจากที่มีการกำหนดภาษีหลายรายการแล้ว คู่ค้าทางการค้า เช่น ยุโรปและจีนก็จะยอมรับข้อตกลงด้านสกุลเงินในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมากขึ้นเพื่อแลกกับการลดภาษี”
เติมเงินเข้าคลังรัฐบาล
เพื่อลดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มิแรนนกล่าวว่าพันธมิตรของสหรัฐฯ สามารถขายเงินดอลลาร์ที่ถือครอบครองอยู่ได้
ข้อเสนออีกประการหนึ่งคือการแลกเปลี่ยนพันธบัตรกระทรวงการคลังที่เจ้าหนี้ถืออยู่ ซึ่งโดยปกติจะกู้ยืมเป็นระยะเวลาไม่กี่ปี และเป็นหนี้ระยะเวลา 100 ปี
มิแรนกล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ สหรัฐฯ จึงไม่จำเป็นต้องชำระคืนพันธบัตรเป็นประจำ และจะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้นอันเกิดจากความกลัวต่อความวุ่นวายทางการเงินในตลาด นอกจากนี้ เขายังเสนอให้เรียกเก็บ ‘ค่าธรรมเนียมผู้ใช้’ จากเจ้าหน้าที่ต่างประเทศที่ถือหลักทรัพย์ของกระทรวงการคลัง เพื่อเป็นช่องทางในการเติมเงินเข้าคลังของรัฐบาล
การผิดนัดชำระหนี้โดยพฤตินัย
วิกกี้ เรดวูด ที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาวุโสแห่งบริษัท ‘Capital Economics’ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในอังกฤษ กล่าวว่า “การบังคับให้ผู้ให้กู้ของสหรัฐฯ แลกพันธบัตรนั้นเท่ากับเป็น ‘การผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ โดยพฤตินัย’”
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารพิคเต็ตของสวิตเซอร์แลนด์ระบุในบันทึกว่า “การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมผู้ใช้จากการชำระเงินคืนพันธบัตรของกระทรวงการคลังในต่างประเทศดู ‘ไม่สมจริงอย่างยิ่ง’ และอาจตีความได้ว่าเป็นการผิดสัญญาหรือคล้ายคลึงกับการผิดนัดชำระหนี้”
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเนื้อหาของสัญญา หากสหรัฐฯ สามารถทำให้ประเทศ (อื่นๆ) ตกลงกันได้ ก็สามารถดำเนินการทางกฎหมายได้โดยไม่มีปัญหา” อีริค มอนเนต์ ศาสตราจารย์จากสถาบันวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์ของฝรั่งเศส กล่าว
แผนการที่มีความเสี่ยง
นักเศรษฐศาสตร์วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดของมิแรนอย่างมาก “หากสหรัฐฯ ต้องการลดการขาดดุลการค้าจริงๆ ก็มีวิธีที่ดีกว่าในการดำเนินการ” เรดวูด กล่าว พร้อมกับชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงจากอัตราการกู้ยืมของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณของความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ผู้เชี่ยวชาญของธนาคารพิคเต็ตเขียนไว้ในบันทึกว่า “ข้อตกลงมาร์อาลาโกอาจเป็นความเข้าใจผิดทั้งในมุมมองเชิงทฤษฎีและเชิงปฏิบัติ” พร้อมตั้งคำถามถึงความคิดของมิแรนเกี่ยวกับต้นตอของการประเมินค่าเงินดอลลาร์ที่สูงเกินจริง
ออดัม สเลเตอร์ นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท ‘Oxford Economics’ ของอังกฤษ บอกกับสำนักข่าว AFP ว่า “หากต้องการลดการขาดดุลการค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ดอลลาร์อาจต้องอ่อนค่าลงมากกว่า 20%”
(Photo by Kayla Bartkowski / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)