ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันพุธ (2 ก.ค.) ว่า สหรัฐฯ จะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนาม 20% ซึ่งเป็นอัตราต่ำกว่าที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อลดความตึงเครียดกับเวียดนามที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 10 ของสหรัฐฯ
สหรัฐฯ จะเก็บภาษี 20% สำหรับสินค้านำเข้าจากเวียดนาม และจะเก็บภาษี 40% สำหรับสินค้าที่ส่งผ่านเวียดนาม (trans-shipments) จากประเทศที่ 3 นอกจากนี้ เวียดนามยังอนุญาตให้นำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ในอัตราภาษีนำเข้า 0%
ทรัมป์โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่า “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ประกาศว่าผมเพิ่งทำข้อตกลงทางการค้ากับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” หลังจากพูดคุยกับ โต ลัม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
การประกาศนี้เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนกำหนดเส้นตาย ‘การพักชำระภาษี’ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคม ก่อนที่ทรัมป์จะเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจที่ทรัมป์ประกาศเมื่อเดือนเมษายนที่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าเวียดนามในอัตราถึง 46%
รายละเอียดของข้อตกลงยังมีจำกัดและไม่ชัดเจนว่าอัตราภาษี 20% ที่ทรัมป์ประกาศจะครอบคลุมสินค้าประเภทใดบ้าง หรือจะมีสินค้าบางประเภทที่ได้รับการยกเว้น หรือต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงหรือต่ำกว่านี้หรือไม่
นอกจากนี้ ยังไม่มีการชี้แจงแนวทางการบังคับใช้ข้อกำหนดเกี่ยวกับการส่งผ่านสินค้าจากประเทศที่ 3 ผ่านเวียดนาม ซึ่งมุ่งเป้าไปที่สินค้าที่ผลิตในจีนแต่ถูกติดฉลากว่า ‘ผลิตในเวียดนาม’ ว่าจะดำเนินการอย่างไรและมีมาตรการตรวจสอบอย่างไร
รัฐบาลเวียดนามยังไม่ได้ยืนยันอัตราภาษีที่แน่นอนในแถลงการณ์ที่กล่าวถึงเพียงว่าได้บรรลุข้อตกลงในกรอบความร่วมมือทางการค้า แต่เวียดนามจะให้ความสำคัญกับการเปิดตลาดให้กับสินค้าสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ รวมถึงรถยนต์เครื่องยนต์ใหญ่
ข้อตกลงระหว่างสองประเทศนี้จะเป็นแรงส่งทางการเมืองให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งทีมงานของเขาประสบปัญหาในการปิดดีลกับคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ อย่างรวดเร็วก่อนถึงเส้นตาย
แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะมีการประกาศล่วงหน้าถึงข้อตกลงที่จะเกิดขึ้นกับอินเดีย แต่ข้อตกลงที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้กับสหราชอาณาจักรและจีนกลับมีขอบเขตจำกัด ขณะที่การเจรจากับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 6 ของสหรัฐฯ และเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดในเอเชีย ก็ดูเหมือนว่าจะเจออุปสรรค
สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การทูต และกลาโหมที่เติบโตขึ้นระหว่างสองประเทศนี้ถือเป็นกลยุทธ์เพื่อรับมือกับคู่แข่งทางยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ อย่างจีน ซึ่งเวียดนามเองก็พยายามรักษาความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับมหาอำนาจทั้งสองประเทศ
ทั้งนี้ โต ลัม ยังขอให้สหรัฐฯ รับรองสถานะ ‘เศรษฐกิจตลาดของเวียดนาม’ และยกเลิกข้อจำกัดในการส่งออกผลิตภัณฑ์ไฮเทคไปยังเวียดนาม ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่เวียดนามต้องการมานานแล้ว
(Photo by Anna Moneymaker / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)