รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศ ‘ระงับ’ เก็บภาษีต่อประเทศที่ไม่ตอบโต้สหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วันหลังจากที่หลายสิบประเทศติดต่อเข้ามาเพื่อขอทำข้อตกลง ส่งผลให้อัตราพื้นฐานการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศส่วนใหญ่ลดลงเหลือเพียง 10% ในระหว่างนี้
ทว่าการผ่อนผันดังกล่าวนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้กับ ‘จีน’ อีกทั้งยังเรียกเก็บเพิ่มเป็น 125% เพื่อลงโทษในสิ่งที่ทรัมป์เรียกว่า ‘ขาดความเคารพ’ จากจีน เมื่อรวมกับภาษีนำเข้าเฟนทานิล 20% ที่ีเรียกเก็บอยู่ก่อนแล้ว หมายความว่าสินค้าบางรายการจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าทั้งหมด 145%
ขณะที่จีนประกาศตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการกำหนดอัตราภาษี 84% ต่อสินค้าจากสหรัฐฯ โดยมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดี (10 เม.ย.) “จีนไม่ต้องการต่อสู้สงครามการค้าและภาษีศุลกากร แต่จะไม่ถอยหนีเมื่อสงครามการค้าและภาษีศุลกากรมาถึง หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ขู่ว่าจะจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมกับสินค้านำเข้าจากจีน” หลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดี
“การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เป็นการ ‘ละเมิดหลักการสากลอย่างโจ่งแจ้ง’...สหรัฐฯ ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว ใช้ภาษีนำเข้าเป็นอาวุธเพื่อกดดันอย่างหนักและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว การกระทำดังกล่าวละเมิดสิทธิและผลประโยชน์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศต่างๆ อย่างร้ายแรง ทั้งยังละเมิดกฎขององค์การการค้าโลกอย่างร้ายแรง ทำลายระบบการค้าพหุภาคี และกระทบต่อเสถียรภาพของระเบียบเศรษฐกิจโลก”
“ไม่มีผู้ชนะในสงครามการค้า เราไม่ต้องการสงครามการค้า แต่เราไม่กลัวที่จะสู้ เราจะไม่ยอมให้สิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของชาวจีนถูกพรากไป และเราจะไม่ยอมให้มีการบ่อนทำลายกฎเกณฑ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและระบบการค้าพหุภาคี”
หลินเจี้ยน กล่าวโดยเน้นย้ำว่าหากฝ่ายสหรัฐฯ ยืนกรานที่จะทำสงครามภาษี หรือสงครามการค้า จีนก็จะต่อสู้จนถึงที่สุด
สหรัฐฯ ซื้อสินค้าจากจีนมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก ยกเว้นเม็กซิโก โดยมีมูลค่าเกือบ 440,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 14 ล้านล้านบาท) ในปี 2024 สินค้าอุปโภคบริโภคทุกประเภทมาจากจีน รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น iPhone ของเล่น เสื้อผ้าและรองเท้า
ขณะเดียวกันก็ส่งออกสินค้ามูลค่ามากกว่า 143,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.81 ล้านล้านบาท) ไปยังจีนในปี 2024 เช่น ถั่วเหลือง เครื่องบิน ส่วนประกอบเครื่องบิน ยา เซมิคอนดักเตอร์ และยานพาหนะ
การส่งออกของจีนเพิ่มขึ้นถึง 13% ในปี 2023 และ 17% ในปี 2024 โดยการส่งออกคิดเป็นประมาณ 20% ของ GDP ของประเทศ ในขณะที่การส่งออกของอเมริกา ซึ่งเคยสูงกว่าที่เคยเป็นมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว กลับกำลังลดลง โดยการส่งออกมีสัดส่วนเพียง 11% ของ GDP ของสหรัฐฯ เท่านั้น ซึ่งลดลงจาก 13.6% เมื่อปี 2012
ตามข้อมูลของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ระบุว่า การส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังจีนลดลงเกือบ 3% เมื่อปีที่แล้ว เหลือมูลค่า 144,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.85 ล้านล้านบาท) ส่วนการขาดดุลการค้าระหว่างทั้งสองประเทศยังขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 2.95 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.9 ล้านล้านบาท)
อย่างไรก็ดี การที่ทรัมป์ระงับเก็บภาษีต่อประเทศที่ไม่ตอบโต้สหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นจีนนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการเทขายในตลาดพันธบัตรและดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ที่ลดลง
(Photo by Mandel NGAN and Pedro Pardo / AFP)