ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า เขาวางแผนที่จะเรียกเก็บภาษี 25% จากการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมทั้งหมด ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตการค้าและขู่ว่าจะผูกสัมพันธ์กับพันธมิตรการค้ารายใหญ่บางรายของอเมริกา
ทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน เมื่อวันอาทิตย์ (9 ก.พ.) ว่า ภาษีนำเข้าโลหะจะถูกเรียกเก็บจากทุกประเทศ เมื่อนักข่าวถามว่าเม็กซิโกและแคนาดาจะรวมอยู่ในภาษีนี้ด้วยหรือไม่ ทรัมป์ตอบว่า “ภาษีจะครอบคลุมทุกประเทศ” แต่ไม่ได้บอกว่าภาษีจะมีผลบังคับใช้เมื่อใด
ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่าเขาจะประกาศ ‘ภาษีศุลกากรตอบโต้’ ในสัปดาห์นี้กับประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ โดยภาษีศุลกากรนี้จะมีผลบังคับใช้เกือบจะทันทีหลังจากมีการประกาศ แต่ทรัมป์ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
การเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นครั้งล่าสุดของทรัมป์ในการขู่ที่จะขึ้นภาษีนำเข้าต่อประเทศต่างๆ และภาคส่วนต่างๆ อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าทรัมป์จะทำตามหรือไม่ เพราะเขาได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าต่อแคนาดาและเม็กซิโกแล้ว แต่ก็เลื่อนไปก่อน 1 เดือน และขึ้นภาษีนำเข้าต่อจีนต่อไป
สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาการนำเข้าอะลูมิเนียมส่วนใหญ่จากแคนาดา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และจีน เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนใหญ่ ขณะที่การนำเข้าเหล็กคิดเป็นสัดส่วนการบริโภคที่น้อยกว่า แต่มีความสำคัญต่อภาคส่วนต่างๆ ที่ใช้เกรดพิเศษซึ่งไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ รวมถึงธุรกิจพลังงาน ตั้งแต่ผู้พัฒนาพลังงานลมไปจนถึงผู้ขุดเจาะน้ำมัน
ในการซื้อขายช่วงเช้าวันจันทร์ (10 ก.พ.) ในตลาดเอเชีย ตลาดโลหะทรงตัวหลังจากการประกาศของทรัมป์ ราคาอ้างอิงของแร่เหล็ก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตเหล็ก พุ่งขึ้นน้อยกว่า 1% ในสิงคโปร์เมื่อเวลาประมาณ 9.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ส่วนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐฯ ในตลาด ‘Comex’ พุ่งขึ้น 0.4% ซึ่งมีการซื้อขายที่เบาบางมาก
“การขึ้นภาษีเหล็กรอบนี้ 25% ส่งผลเสียต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์เหล็กอย่างแน่นอน อาจต้องใช้เวลา 2-3 วันกว่าที่ตลาดจะปรับตัวลงได้เมื่อราคาอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม การส่งออกเหล็กไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นเพียงไม่ถึง 1% ของการส่งออกทั้งหมดของจีน” เหมิงเทียน เจียง นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษา ‘Horizon Insights’ กล่าว
แคนาดา เม็กซิโก บราซิล และเกาหลีใต้ เป็นซัพพลายเออร์เหล็กกล้าต่างประเทศรายใหญ่ของสหรัฐฯ
ผู้ซื้อและผู้ขายเหล็กและอะลูมิเนียมหลายรายคาดว่าจะมีเวลาอย่างน้อยจนถึงเดือนมีนาคมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการใช้ภาษีศุลกากร บริษัทน้ำมันบางแห่งได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับโลหะเหล่านี้ในช่วงการดำรงตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์
ทรัมป์ไม่ได้ชี้แจงว่าการนำเข้าโลหะจากจีนจะต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรสองเท่าหรือไม่ เนื่องจากเขาได้กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนไว้แล้วที่ 10% ซึ่งทางจีนก็ประกาศมาตรการตอบโต้มีผลบังคับใช้เมื่อวันจันทร์ (3 ก.พ.) มาตรการดังกล่าวมีขอบเขตที่กว้างขึ้น โดยมุ่งเป้าไปที่สินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.7 แสนล้านบาท) ในปี 2024 เท่านั้น
อย่างไรก็ดี การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่อุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐฯ กำลังมองหาทางฟื้นตัวจากปีที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ผู้ผลิตเหล็กในประเทศบ่นว่าการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งส่งผลกระทบต่อกำไรและตัวเลขการผลิตของพวกเขา
เหล็กกล้าและอะลูมิเนียมอยู่ในกลุ่มภาษีนำเข้าครั้งแรกของทรัมป์ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งสมัยแรก โดยมีการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าเหล็กกล้า 25% และอะลูมิเนียม 10% ในปี 2018 ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ
ภาษีนำเข้าเหล็กยังเกิดขึ้นท่ามกลางข้อตกลงที่หยุดชะงักของบริษัท ‘Nippon Steel Corp.’ ของญี่ปุ่นในการซื้อ ‘US Steel Corp.’ มูลค่า 14,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.7 แสนล้านบาท) ซึ่งธุรกรรมดังกล่าวถูกขัดขวางโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน และถูกคัดค้านโดยทรัมป์เช่นกัน
เมื่อวันศุกร์ (7 ก.พ.) ที่ผ่านมา หลังจากการประชุมกับ ชิเงรุ อิชิบะ นายกฯ ญี่ปุ่น โดยทรัมป์กล่าวว่าขณะนี้ บริษัท Nippon Steel Corp. กำลังพิจารณาลงทุนในบริษัท US Steel Corp. แทนที่จะซื้อกิจการทั้งหมด “บริษัท Nippon Steel Corp.ไม่สามารถถือหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทของสหรัฐฯ ได้ ผมไม่อยากให้บริษัทต่างชาติเป็นเจ้าของ US Steel Corp. สิ่งเดียวที่บริษัทเหล่านี้ทำได้คือ ‘การลงทุน’” ทรัมป์กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (9 ก.พ.)
(Photo by ROBERTO SCHMIDT / AFP)