เจ้าหน้าที่จากสหรัฐฯ และยูเครนกล่าวเมื่อวันอังคาร (25 ก.พ.) ว่า ยูเครนตกลงที่จะส่งมอบรายได้จากทรัพยากรแร่บางส่วนให้แก่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันของยูเครนเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากวอชิงตัน
เงื่อนไขสุดท้ายของข้อตกลงยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด และยังไม่ชัดเจนในทันทีว่ายูเครนจะได้รับอะไรหรือไม่หลังจากการเจรจาที่ยากลำบากและตึงเครียดมาหลายวัน ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนได้กดดันซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้รับประกันความปลอดภัยให้กับประเทศของเขาเพื่อแลกกับสิทธิในแร่ธาตุ เนื่องจากสงครามของรัสเซียเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว
แหล่งข่าวที่ทราบเนื้อหาของร่างข้อตกลงดังกล่าวเผยว่า ร่างข้อตกลงไม่ได้ระบุถึงการรับประกันความปลอดภัยของสหรัฐฯ หรือการไหลเวียนอาวุธอย่างต่อเนื่อง แต่ระบุว่าสหรัฐฯ ต้องการให้ยูเครนเป็น ‘ประเทศที่เป็นอิสระ มีอำนาจอธิปไตย และปลอดภัย’
ส่วนแหล่งข่าวรายหนึ่งที่ทราบข้อตกลงดังกล่าวเผยว่าการขนส่งอาวุธในอนาคตระหว่างสหรัฐฯ และยูเครนยังอยู่ในระหว่างการหารือกัน
ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนต้องการเดินทางมายังกรุงวอชิงตันในวันศุกร์ (28 ก.พ.) เพื่อลงนามใน ‘ข้อตกลงที่สำคัญมาก’ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำทั้งสองหารือกันในประเด็นที่ไม่เป็นมิตรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เซเลนสกีปฏิเสธที่จะลงนามในร่างข้อตกลงแร่ธาตุฉบับก่อนหน้านี้ เนื่องจากสหรัฐฯ เรียกร้องสิทธิในทรัพย์สินธรรมชาติมูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16 ล้านล้านบาท) ซึ่งทางยูเครนประท้วงว่าได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ น้อยกว่านั้นมาก และข้อตกลงดังกล่าวขาดการรับประกันความปลอดภัยที่ยูเครนต้องการ
อย่างไรก็ตาม รายงานสื่อระบุว่า สหรัฐฯ ได้ยกเลิกข้อเรียกร้อง 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ไม่ได้รับประกันความปลอดภัยที่ชัดเจนแก่ยูเครนที่กำลังตกอยู่ในภาวะสงคราม ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่สำคัญของยูเครน
ชาวยูเครนเริ่มรู้สึกสบายใจมากขึ้นกับข้อตกลงดังกล่าวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากสหรัฐฯ ได้ยกเลิกเงื่อนไขที่เข้มงวดบางประการ
แม้ว่าเงื่อนไขขั้นสุดท้ายของข้อตกลงจะยังไม่ชัดเจน แต่ร่างข้อตกลงที่หารือกันเมื่อวันอังคารไม่ได้ระบุถึงข้อเรียกร้องให้ยูเครนสมทบเงิน 500,000 ล้านดอลลาร์เข้าในกองทุนที่สหรัฐฯ เป็นเจ้าของอีกต่อไป และยังไม่ระบุถึงข้อเรียกร้องให้ยูเครนจ่ายเงินคืนให้สหรัฐเป็นสองเท่าของจำนวนเงินช่วยเหลือในอนาคต ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่เซเลนสกีเคยเรียกร้องเมื่อเทียบกับการเรียกเก็บหนี้ระยะยาวจากยูเครน
ร่างข้อตกลงดังกล่าวระบุว่ายูเครนจะสมทบเงินเข้ากองทุนครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดจากการแปลงทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นเงินในอนาคตซึ่งรวมถึงแร่ธาตุที่สำคัญ น้ำมัน และก๊าซ โดยที่สหรัฐฯ จะถือผลประโยชน์ทางการเงินสูงสุดในกองทุนที่กฎหมายสหรัฐฯ อนุญาต แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องทั้งหมดก็ตาม และกองทุนดังกล่าวจะออกแบบมาเพื่อนำรายได้บางส่วนกลับไปลงทุนในยูเครน นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตของยูเครนอีกด้วย
การหารือเกี่ยวกับสิทธิด้านแร่ธาตุเกิดขึ้นในขณะที่รัสเซียได้เปรียบในสนามรบ ประกอบกับทรัมป์ยังเข้าข้างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และวิพากษ์วิจารณ์เซเลนสกีว่าเป็น ‘เผด็จการ’ แถมยังบอกอีกว่ายูเครนเป็นผู้เริ่มสงครามทั้งๆ ที่ความขัดแย้งเริ่มต้นด้วยการรุกรานเต็มรูปแบบของรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ก็ตาม
ทรัมป์กระตุ้นให้เซเลนสกีลงนามในข้อตกลง และควรดำเนินการอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นเซเลนสกีจะไม่มีประเทศเหลืออยู่ ขณะที่เซเลนสกีก็บอกว่าทรัมป์กำลังติดอยู่ใน ‘วังวนกระแสข่าวปลอม’ ของรัสเซีย
นักวิจารณ์กล่าวว่าร่างข้อตกลงฉบับก่อนหน้าไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนชีวิตที่ยูเครนต้องจ่ายไปเพื่อความมั่นคงที่กว้างขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเอาชนะการรุกรานครั้งแรกของรัสเซีย การป้องกันกองกำลังทหารของรัสเซียบนชายแดนนาโตทางตะวันตก และการกำจัดกองทัพรัสเซียด้วยการสู้รบที่ดุเดือดเป็นเวลานานถึง 3 ปี
ยูเครนมีแร่ธาตุอะไรบ้าง?
มีการประมาณกันว่าประมาณ 5% ของ ‘วัตถุดิบสำคัญ’ ของโลกอยู่ในยูเครน ซึ่งรวมถึง :
- กราไฟต์สำรองที่พิสูจน์แล้ว 19 ล้านตัน ซึ่งใช้ในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานพาหนะไฟฟ้า
- หนึ่งในสามของแหล่งลิเธียมของยุโรปทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในแบตเตอรี่ในปัจจุบัน
ก่อนที่รัสเซียจะรุกรานเต็มรูปแบบเมื่อ 3 ปีก่อน ยูเครนยังผลิตไททาเนียมให้กับโลกถึง 7% อีกด้วย ซึ่งใช้ในการก่อสร้างทุกอย่าง ตั้งแต่เครื่องบินไปจนถึงโรงไฟฟ้า
นอกจากนี้ ดินแดนของยูเครนยังประกอบด้วยแหล่งแร่ธาตุหายากจำนวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มธาตุ 17 ชนิดที่ใช้ในการผลิตอาวุธ กังหันลม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่สำคัญในโลกยุคใหม่
ตามคำกล่าวของ ยูเลีย สวิริเดนโก รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของยูเครนเผยว่า รัสเซียยึดครองแหล่งแร่บางส่วนแล้ว และทรัพยากรมูลค่า 350,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 11 ล้านล้านบาท) ยังคงอยู่ในดินแดนที่รัสเซียยึดครองในปัจจุบัน
(Photo by Alex Kent / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / Getty Images via AFP)