สหรัฐฯ​ เตรียมติดตั้ง ‘เครื่องยิงขีปนาวุธ’ สุดทรงพลังในอินโด-แปซิฟิก!

7 ธันวาคม 2566 - 08:35

us-deploy-powerful-new-missile-launcher-indo-pacific-SPACEBAR-Hero.jpg
  • กองทัพสหรัฐฯ มีแผนติดตั้งเครื่องยิงขีปนาวุธพิสัยกลางในอินโดแปซิฟิกในปีหน้า

กองทัพสหรัฐฯ ยืนยันว่ามีแผนจะติดตั้งเครื่องยิงขีปนาวุธภาคพื้นดินตัวใหม่ที่สามารถยิงได้ไกลถึง 2,500 กิโลเมตรในอินโดแปซิฟิกในปีหน้า 

“กองทัพสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิกตั้งใจที่จะติดตั้งระบบยิงระยะไกลเชิงยุทธศาสตร์ ‘Typhon’ (SMRF) ในภูมิภาคนี้ในปี 2024” ร็อบ ฟิลลิปส์ โฆษกกระทรวงกลาโหมบอกกับ The Japan Times เมื่อวันอังคาร โดยชี้ไปที่คำพูดก่อนหน้านี้ของ ชาร์ลส ฟลินน์ ผู้บัญชาการของกำลังกองทัพสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิก 

ฟลินน์กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อเดือนที่แล้วว่า ระบบซึ่งใช้ขีปนาวุธ SM-6 และขีปนาวุธร่อนโทมาฮอว์ก ได้ดัดแปลงสำหรับการปล่อยภาคพื้นดิน จะถูกนำไปใช้งานในปีหน้า เชื่อกันว่าโทมาฮอว์กมีพิสัยทำการระหว่าง 1,250 กม. ถึง 2,500 กม. ขณะที่ SM-6 มีพิสัยการบินสูงสุดที่ 240 กม. 

“ผมจะไม่บอกว่าที่ไหนและเมื่อไหร่ แต่ผมแค่บอกว่าเราจะส่งมันไปประจำการในภูมิภาคนี้” ฟลินน์กล่าวพร้อมเสริมว่า สหรัฐฯ ตั้งใจที่จะติดตั้งขีปนาวุธ HIMARS, SM-6 และโทมาฮอว์กใน ‘อินโดแปซิฟิก’ ซึ่งเป็นคำที่สหรัฐฯ ใช้เรียกพื้นที่ที่ครอบคลุม เอเชียตะวันออกและมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก 

นอกจากนี้ มหาสมุทรแปซิฟิกยังกลายเป็นจุดสนใจของการแข่งขันกัน ขณะที่สหรัฐฯ ตอบสนองต่อการที่จีนรุกล้ำหมู่เกาะต่างๆ ซึ่งสหรัฐฯ ได้ละเลยมันในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความสนใจของสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิกได้รับการกระตุ้นเป็นพิเศษหลังจากที่หมู่เกาะโซโลมอนลงนามข้อตกลงด้านความปลอดภัยกับจีนเมื่อต้นปีที่แล้ว 

เทส นิวตัน เคน นักวิเคราะห์ภาคพื้นแปซิฟิกที่สถาบันกริฟฟิธเอเชีย กล่าวว่า ความเป็นไปได้ของขีปนาวุธพิสัยกลางในเกาะกวมเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเสริมกำลังทหารที่ประเทศในแปซิฟิก 

“การประชุมหมู่เกาะแปซิฟิก (Pacific Islands Forum) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประกอบด้วย 18 ประเทศซึ่งรวมถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ มีความกังวลอยู่แล้วเกี่ยวกับการที่สหรัฐฯ ไม่ยอมรับหลักการของสนธิสัญญาราโรตองกาปี 1989 ซึ่งประกาศให้แปซิฟิกใต้เป็นเขตปลอดนิวเคลียร์” เธอกล่าว 

กองทัพสหรัฐฯ ได้ทำการทดสอบระบบที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีเครื่องยิงแบบเทรลเลอร์ 4 เครื่องและอุปกรณ์สนับสนุนอื่นๆ พร้อมด้วยขีปนาวุธโทมาฮอว์กและ SM-6 ทว่าระบบดังกล่าวไม่น่าจะถูกนำไปใช้ในญี่ปุ่น โดยมีรายงานของสื่อที่อ้างถึงความยากลำบากในการรักษาความเข้าใจของสาธารณะ การส่งเข้ามาในประเทศจะทำให้สถานที่เหล่านั้นตกเป็นเป้าหมายของจีน  

การส่งอาวุธดังกล่าวไปยังเอเชีย ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่เกาะกวม ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพสหรัฐฯ ซึ่งจะถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามเย็น และจะเกิดขึ้นขณะที่จีนกำลังสะสมขีปนาวุธที่มีศักยภาพสูงซึ่งสามารถโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในญี่ปุ่นและทั่วมหาสมุทรแปซิฟิกได้ 

ภายใต้สนธิสัญญากองกำลังนิวเคลียร์พิสัยกลาง (Intermediate-Range Nuclear Forces - INF) ปี 1987 ระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตในขณะนั้น ได้สั่งห้ามขีปนาวุธภาคพื้นดินทั้งหมดทั้งแบบธรรมดาและแบบนิวเคลียร์ ที่สามารถเดินทางได้ระหว่าง 500 กม. ถึง 5,500 กม. (310 ไมล์ และ 3,400 ไมล์) 

แต่สหรัฐฯ ถอนตัวจาก INF ในปี 2019 โดยอ้างว่ารัสเซียแอบทดสอบและบรรจุขีปนาวุธที่ละเมิดข้อตกลง 

ตามรายงานประจำปีล่าสุดของเพนตากอนเกี่ยวกับกองทัพจีน คาดว่าจีนซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา INF มีขีปนาวุธ 1,500 ลูกในพิสัย 1,000 กม. ถึง 5,500 กม. 

การปรับใช้ระบบดังกล่าวในเกาะกวมหรือการหมุนเวียนในระยะสั้นไปยังพันธมิตรเอเชียของสหรัฐฯ สามารถช่วยเสริมการป้องปรามจีนได้ ขณะที่จีนใช้กำลังทหารใกล้กับไต้หวันและในทะเลจีนใต้ที่เป็นข้อพิพาท 

แท้จริงแล้ว เจ้าหน้าที่กองทัพที่เกี่ยวข้องกับโครงการ Typhon กล่าวในงาน Think Tank เมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว โดยตั้งข้อสังเกตว่าระบบดังกล่าวสามารถยิง ขีปนาวุธได้มากกว่าโทมาฮอว์ก และ SM-6 เป็นจำนวนมาก 

ด้วยเหตุนี้ นีล เธอร์กู๊ด ผู้อำนวยการสำนักงานเทคโนโลยีที่สำคัญของกองทัพสหรัฐฯ ในตอนนั้นกล่าวว่า โครงการนี้จะขยายออกไปทั่วทั้งกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับประเทศพันธมิตรของเรา เนื่องจากสามารถยิงอาวุธ (หลากประเภท) ได้มากมาย 

Photo by Daniel MIHAILESCU / AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์