เจ้าหน้าที่หลายคนเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (16 ก.ค.) ว่า หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ กำลังติดตามแผนการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดยอิหร่านที่อาจเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่มือปืนจะเปิดฉากยิงเมื่อวันเสาร์ (13 ก.ค.) แต่เจ้าหน้าที่เสริมว่าพวกเขาไม่ได้พิจารณาถึงภัยคุกคามที่เกี่ยวข้องกับการยิงที่ทำให้ทรัมป์ได้รับบาดเจ็บ
หน่วยข่าวกรองได้กระตุ้นให้หน่วยอารักขาประธานาธิบดี (Secret Service) เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับทรัมป์ก่อนที่เขาจะเริ่มหาเสียงที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการเพิ่มเติมใดๆ ก็ตามที่นำมาใช้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งมือปืนวัย 20 ปีที่ปีนขึ้นไปบนหลังคาของอาคารที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเพื่อยิงทรัมป์จนเฉียดใบหูด้านบนข้างขวาของเขา
เจ้าหน้าที่สภาความมั่นคงแห่งชาติรายหนึ่งไม่เปิดเผยชื่อบอกว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ได้ติดต่อไปยังหน่วยอารักขาประธานาธิบดีเพื่อให้แน่ใจว่าได้ติดตามรายงานล่าสุด และหน่วยอารักขาได้ให้ข้อมูลดังกล่าวกับหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของทรัมป์
หน่วยอารักขาประธานาธิบดีแจ้งทีมหาเสียงของทรัมป์ว่ามีภัยคุกคามทรัมป์เพิ่มขึ้น แต่ไม่ทราบถึงอันตรายเฉพาะเจาะจงใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือกลุ่มคนอิหร่าน ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์ได้รับแจ้งอะไรหรือไม่
ข้อมูลข่าวกรองที่กระตุ้นให้เกิดการเตือนนั้นเป็นเรื่องใหม่ แต่สอดคล้องกับข้อมูลภัยคุกคามก่อนหน้านี้ที่มีต่อเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระดับล่างทั้งในปัจจุบันและอดีต อย่างไรก็ดี ฤดูกาลหาเสียงที่เข้มข้นขึ้นซึ่งมีการปราศรัยสาธารณะบ่อยครั้งขึ้นทำให้มีโอกาสโจมตีได้มากขึ้น เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติหลายคนกล่าวว่า แม้ว่าภัยคุกคามดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง แต่จากข้อมูลข่าวกรองแล้ว ดูเหมือนว่าภัยคุกคามดังกล่าวจะยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่
เจ้าหน้าที่ไม่ยอมหารือว่าข้อมูลดังกล่าวได้มาอย่างไร แต่ระบุว่าข้อสรุปของพวกเขามาจากข้อมูลข่าวกรองหลายชุดที่รวบรวมโดยหน่วยงานต่างๆ ซึ่งยังไม่ชัดเจนจนกว่าจะนำมารวมกันเป็นภาพเดียว เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จึงพยายามหาคำตอบว่าเป็นเพียงความทะเยอทะยานหรือมีแผนที่ชัดเจน
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เจ้าหน้าที่หลายคนกล่าวว่า หน่วยอารักขาได้เพิ่มทรัพยากรเมื่อไม่นานมานี้ แม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธที่จะอธิบายอย่างเฉพาะเจาะจงว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ความจริงที่ว่ามีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้นสำหรับเวทีปราศรัยที่เมืองบัตเลอร์เนื่องจากภัยคุกคามที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันทำให้เกิดคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับความล้มเหลวของหน่วยข่าวอารักขาประธานาธิบดีในการปกป้องทรัมป์
อย่างไรก็ดี ภัยคุกคามจากอิหร่านมีสาเหตุมาจากความปรารถนาอันยาวนานของเตหะรานที่ต้องการแก้แค้นที่ทรัมป์สั่งสังหาร พลตรีกอเซม สุไลมานี นายพลชาวอิหร่านในกองพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่านเมื่อเดือนมกราคม 2020 ซึ่งทั้งนี้พบว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลของทรัมป์ เช่น ไมค์ ปอมเปโอ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และ จอห์น อาร์.โบลตัน อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ก็เคยเผชิญภัยคุกคามจากอิหร่านส่งผลให้พวกเขาได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยจากรัฐบาลแม้ว่าพวกเขาจะออกจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม
“อย่างที่เราได้กล่าวไปหลายครั้งแล้ว เราได้ติดตามภัยคุกคามจากอิหร่านต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลทรัมป์มาหลายปีแล้ว ภัยคุกคามเหล่านี้เกิดจากความปรารถนาของอิหร่านที่ต้องการแก้แค้นต่อคำสั่งสังหารนายพลสุไลมานี เราถือว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นด้านความมั่นคงของชาติและมาตุภูมิที่มีความสำคัญสูงสุด” เอเดรียนน์ วัตสัน โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติกล่าวในแถลงการณ์
วัตสันเน้นย้ำว่าแผนการของอิหร่านนั้นแยกออกจากความพยายามลอบสังหารทรัมป์ที่เมืองบัตเลอร์ “การสืบสวนความพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อวันเสาร์ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ ในเวลานี้ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรายงานว่าการสืบสวนของพวกเขาไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างมือปืนกับผู้สมรู้ร่วมคิด ไม่ว่าจะเป็นจากต่างประเทศหรือในประเทศ” วัตสันกล่าว
ก่อนหน้านี้สำนักข่าว CNN ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับข้อมูลภัยคุกคามจากอิหร่าน โดย อเลฮานโดร มายอร์กาส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ พูดเป็นนัยถึงภัยคุกคามที่เล็ดลอดออกมาจากต่างประเทศในระหว่างการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.)
ทีมงานหาเสียงของทรัมป์ปฏิเสธที่จะหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ “เราไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายละเอียดด้านความปลอดภัยของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ คำถามทั้งหมดควรส่งตรงไปยังหน่วยอารักขาประธานาธิบดีของสหรัฐฯ” ทีมงานหาเสียงระบุในแถลงการณ์
อิหร่านโต้ข้อมูลจากหน่วยข่าวกรอง ‘ไม่เป็นความจริง’
ขณะที่ทางอิหร่านออกมาโต้แย้งรายงานแผนการลอบสังหารทรัมป์ โดยคณะผู้แทนอิหร่านประจำสหประชาชาติระบุว่า “ข้อกล่าวหานี้ไม่มีมูลความจริงและเป็นการมุ่งร้าย จากมุมมองของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ทรัมป์เป็นอาชญากรที่ต้องถูกดำเนินคดีและถูกลงโทษในศาลสำหรับการสั่งลอบสังหารนายพลสุไลมานี อิหร่านได้เลือกเส้นทางทางกฎหมายที่จะนำตัวทรัมป์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”
ทั้งนี้ อิหร่านเคยแสดงความปรารถนาที่จะแก้แค้นด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอย่างชัดเจน เมื่อใกล้ถึงวันครบรอบ 1 ปีการสังหารนายพลสุไลมานีในช่วงต้นเดือนมกราคม 2021 ขณะนั้น อายาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้ออกมาเตือนต่อสาธารณชนว่า “ผู้ที่สั่งสังหารนายพลสุไลมานีจะถูกลงโทษ” ในช่วงนั้น ทรัมป์ ซึ่งกำลังจะเข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายของการดำรงตำแหน่งได้บอกกับเพื่อนๆ ในฟลอริดาที่งานเลี้ยงค็อกเทลช่วงวันหยุดว่าทรัมป์กังวลว่าอิหร่านจะพยายามลอบสังหารเขา
ในปี 2022 กระทรวงยุติธรรมได้ตั้งข้อกล่าวหาต่อสมาชิกกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่านว่า วางแผนลอบสังหาร จอห์น อาร์.โบลตัน อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ แต่แผนดังกล่าวถูกขัดขวางและโบลตันได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยจากรัฐบาล
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่าอิหร่านไม่เคยหยุดพยายามสังหารบุคคลที่พวกเขากล่าวโทษว่าอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการสังหารนายพลสุไลมานี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หน่วยข่าวกรองได้ระบุในการประเมินภัยคุกคามประจำปีว่าอิหร่านจะยังคงคุกคามบุคคลของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางโดยตรง และกำลังพยายามพัฒนาเครือข่ายในสหรัฐฯ ในการโจมตีเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นการตอบโต้การสังหารนายพลสุไลมานี โดยระบุว่า “อิหร่านเคยพยายามปฏิบัติการสังหารในสหรัฐฯ มาก่อน”
วัตสันกล่าวเมื่อวันอังคารว่า รัฐบาลถือว่าภัยคุกคามเหล่านี้เป็นเรื่องร้ายแรง “ในฐานะส่วนหนึ่งของการตอบสนองอย่างครอบคลุมดังกล่าว เราได้ลงทุนทรัพยากรจำนวนมากในการพัฒนาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภัยคุกคามเหล่านี้ ขัดขวางบุคคลที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามเหล่านี้ ปรับปรุงการจัดเตรียมการป้องกันที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามเหล่านี้ ร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศ และแจ้งเตือนอิหร่านโดยตรง”
Photo by Brendan SMIALOWSKI / AFP