สหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบียลงนามในข้อตกลงซื้อขายอาวุธมูลค่า 142,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.7 ล้านล้านบาท) ซึ่งทำเนียบขาวระบุว่าเป็น “ข้อตกลงขายอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” การลงนามนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางเยือนกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซียเป็นเวลา 4 วัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเจรจาข้อตกลงสำคัญและเน้นย้ำจุดแข็งของนโยบายต่างประเทศเชิงผลประโยชน์ของทรัมป์
ไม่ชัดเจนว่าข้อตกลงดังกล่าวรวมถึงเครื่องบินรบ Lockheed F-35 หรือไม่ ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่ามีการหารือกันแล้ว เจ้าชายซาอุดีอาระเบียกล่าวว่าแพ็คเกจทั้งหมดอาจสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อบรรลุข้อตกลงเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ระหว่างการเดินทางนี้ ทำเนียบขาวยังยืนยันด้วยว่าทรัมป์จะพบกับผู้นำคนใหม่ของซีเรีย อาเหม็ด อัล-ชารา อดีตผู้บัญชาการฝ่ายกบฏที่มีบทบาทในการโค่นล้มบาชาร์ อัล-อัสซาด ในปี 2024 การพบปะนี้ถือเป็นการพบกันแบบตัวต่อตัวครั้งแรกระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับผู้นำซีเรียนับตั้งแต่ปี 2000 อย่างที่ บิล คลินตัน เคยพบกับ ฮาเฟซ อัล-อัสซาด ที่เมืองเจนีวา
ทรัมป์กล่าวในเวทีการลงทุนเมื่อวันอังคาร (13 พ.ค.) ว่า เขาวางแผนจะ ‘ยกเลิก’ มาตรการคว่ำบาตรซีเรีย หลังจากหารือกับ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบีย และเรเจป ทายยิป แอร์โดอัน แห่งตุรกี “ผมจะสั่งการให้ยุติการคว่ำบาตรซีเรีย เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสสร้างความยิ่งใหญ่อีกครั้ง”
อาเหม็ด อัล-ชารา ผู้นำซีเรีย ต้องการดึงดูดประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยการเสนอข้อแลกเปลี่ยนเพื่อให้สหรัฐฯ เข้าถึงน้ำมันซีเรีย, สัญญาการฟื้นฟูประเทศ, และการสร้างตึกทรัมป์ทาวเวอร์ในกรุงดามัสกัส เพื่อแลกกับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อซีเรีย
แม้รายละเอียดของการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรจะยังไม่ชัดเจน แต่ทีมงานของชาราในกรุงดามัสกัสต่างเฉลิมฉลองความสำเร็จนี้
“มันน่าทึ่งมาก มันได้ผล...นี่แหละคือวิธีที่จะชนะใจและความคิดของทรัมป์” ราดวัน ซิอาเดห์ นักเขียนและนักเคลื่อนไหวชาวซีเรียที่สนิทสนมกับประธานาธิบดีซีเรียกล่าว พร้อมเสริมว่า “ชาราอาจจะแสดงแบบจำลองตึกดังกล่าวให้ทรัมป์ดูระหว่างการประชุมที่ริยาดในวันพุธ (14 พ.ค.)”
การเยือนครั้งนี้มุ่งเน้นเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจและการสร้างความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของนโยบายต่างประเทศแบบทรัมป์ เจ้าชายมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ได้ให้คำมั่นที่จะ :
- ลงทุน 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 19 ล้านล้านบาท) ในสหรัฐฯ
- 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.6 แสนล้านบาท) ในศูนย์ข้อมูลปัญญาประดิษฐ์
- ซื้อเครื่องจักรผลิตไฟฟ้าและอุปกรณ์พลังงานมูลค่า 14,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.7 แสนล้านบาท)
- ซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 737-8 มูลค่าเกือบ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.66 แสนล้านบาท)
- และข้อตกลงอื่นๆ อีกมากมาย
แต่รายละเอียดของคำมั่นสัญญาเฉพาะยังคงคลุมเครือ ตัวเลขที่ทำเนียบขาวเผยแพร่ไม่ได้มียอดรวม 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบางโครงการเริ่มต้นภายใต้รัฐบาลของโจ ไบเดน
จากนั้น ทรัมป์จะเดินทางต่อจากริยาดไปยังกาตาร์ในวันพุธ และไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) โดยการเดินทางครั้งนี้จะเน้นเรื่องการลงทุนมากกว่าเรื่องความมั่นคงในตะวันออกกลาง
อย่างไรก็ดี การเดินทางครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างการเมืองตะวันออกกลาง ซึ่งอยู่ภายใต้นโยบาย ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ ของทรัมป์ที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของสหรัฐฯ ในประเทศมากกว่าพันธมิตรต่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ
นักวิจารณ์กล่าวว่า “การทำข้อตกลงดังกล่าวทำให้ทรัมป์และนักธุรกิจจำนวนมากที่อยู่รอบๆ ประธานาธิบดีมีอำนาจมากขึ้น รวมถึงครอบครัวของประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจในซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์ ซึ่งทำให้ฝ่ายบริหารนี้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ทั้งนี้ ทรัมป์ยังไม่ได้มีกำหนดเยือนที่อิสราเอล ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่าพันธมิตรที่ใกล้ชิดนี้มีจุดยืนอย่างไรในลำดับความสำคัญของสหรัฐฯ ขณะที่ทรัมป์กดดันนายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ให้ตกลงข้อตกลง ‘หยุดยิง’ ฉบับใหม่ในสงครามกาซาที่ดำเนินมานาน 19 เดือน
ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลต่อกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาและกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ในเลบานอน รวมถึงการลอบสังหารผู้นำกลุ่มพันธมิตรทั้งสองกลุ่มของอิหร่าน ทำให้ทรัมป์มีอำนาจต่อรองมากขึ้นซึ่งทำให้อิหร่านและพันธมิตรในภูมิภาคอ่อนแอลง
ทรัมป์กล่าวเมื่อวันอังคารว่า “อิหร่านเป็น ‘พลังทำลายล้างสูงสุด’ ในตะวันออกกลาง” และเตือนว่า “สหรัฐฯ จะไม่ยอมให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์เด็ดขาด” พร้อมกล่าวอีกว่าเขายินดีที่จะทำข้อตกลงใหม่กับสาธารณรัฐอิสลาม แต่จะต้องให้ผู้นำของอิหร่านเปลี่ยนแนวทางเท่านั้น
“ผมอยากทำข้อตกลงกับอิหร่าน แต่ถ้าผู้นำอิหร่านปฏิเสธข้อตกลงนี้...เราจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกดดันอย่างหนัก” ทรัมป์ กล่าว
(Photo by Fayez NURELDINE / AFP)