โลกค้าน สนธิสัญญาห้าม แต่สหรัฐฯ ก็ยังส่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้ยูเครน

21 พ.ย. 2567 - 07:39

  • สหรัฐฯ จัดหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้กับยูเครน ส่งผลให้การใช้อาวุธชนิดนี้ซึ่งประชาคมโลกประณามมานานเนื่องจากเป็นอันตรายต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ขยายวงกว้างขึ้น

  • การตัดสินใจดังกล่าวสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ อีกครั้งต่อประเด็นที่ถกเถียงกันมานานในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา

  • “นี่เป็นการตัดสินใจที่ประมาทเลินเล่อและสร้างความผิดหวังอย่างมากสำหรับประธานาธิบดีที่เคยยอมรับว่าทุ่นระเบิดทำให้พลเรือนมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายมากขึ้น...” เจ้าหน้าที่จากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว

us_sending_antipersonnel_land_mines_to_ukraine_SPACEBAR_Hero_bef0273b64.jpg

การตัดสินใจของสหรัฐฯ ที่จะจัดหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้กับยูเครน ส่งผลให้การใช้อาวุธชนิดนี้ซึ่งประชาคมโลกประณามมานานเนื่องจากเป็นอันตรายต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ขยายวงกว้างขึ้น และสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ อีกครั้งต่อประเด็นที่ถกเถียงกันมานานในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา 

เจ้าหน้าที่สหรัฐกล่าวว่า ทุ่นระเบิดเหล่านี้มีความจำเป็นเพื่อช่วยให้ยูเครนหยุดยั้งการุกคืบของรัสเซียในสนามรบได้ ซึ่งกองกำลังของมอสโกกำลังเคลื่อนตัวด้วยหน่วยภาคพื้นดินขนาดเล็กในแนวหน้า แทนที่จะใช้รถหุ้มเกราะที่ได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนากว่า 

กระทรวงกลาโหมได้จัดหาทุ่นระเบิดต่อต้านรถถังให้กับยูเครนตลอดช่วงสงคราม “นโยบายใหม่นี้จะทำให้ยูเครนมีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบไม่คงอยู่ถาวรซึ่งปลอดภัยกว่า เนื่องจากทุ่นระเบิดดังกล่าวจะสูญเสียความสามารถในการระเบิดเมื่อเวลาผ่านไป” ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหม กล่าว

“การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไบเดน ‘มีแนวโน้มจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดและล่าช้า’ เนื่องจากพวกเขากำลังจับตาดูสถานการณ์ในสนามรบที่น่าวิตกกังวลในยูเครน และกังวลว่านโยบายของสหรัฐฯ ต่อยูเครนและรัสเซียอาจเปลี่ยนไปอย่างไรในวันที่ 20 มกราคม เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง”

แบรดลีย์ โบว์แมน ผู้อำนวยการอาวุโสของศูนย์การทหารและอำนาจทางการเมืองที่มูลนิธิเพื่อการปกป้องประชาธิปไตย กล่าว

โบว์แมน กล่าวเสริมว่า “เนื่องจากยูเครนมีประสิทธิภาพในการทำสงครามด้วยโดรนมากขึ้น กองทหารรัสเซียที่เคลื่อนตัวด้วยรถหุ้มเกราะจึงมีความเสี่ยงที่จะถูกโดรนโจมตีมากขึ้น ดังนั้นทหารรัสเซียจึงเคลื่อนตัวด้วยเท้า ซึ่งทำให้ยากต่อการถูกโจมตี

นี่คือจุดยืนของสหรัฐฯ ในประเด็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

ทุ่นระเบิดมีตั้งแต่ทุ่นระเบิดขนาดใหญ่ที่ทำลายล้างได้ซึ่งสามารถทำลายรถถังได้ ไปจนถึงทุ่นระเบิดสังหารคลาบุคคลตัวเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นดินและสามารถระเบิดได้ด้วยน้ำหนักของคนเพียงคนเดียว 

รัฐบาลไบเดนกำลังส่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่มีความจุจำกัดไปยังยูเครน ซึ่งต้องเชื่อมต่อด้วยไฟฟ้าและใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ เมื่อแบตเตอรี่หมด ทุ่นระเบิดจะไม่ระเบิด และอาจอยู่ในสภาวะเฉื่อยได้ภายใน 4 ชั่วโมงถึง 2 สัปดาห์ 

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวว่า “สหรัฐฯ ร้องขอให้ยูเครนให้คำมั่นว่าจะจำกัดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับพลเรือน โดยยูเครนจะใช้ทุ่นระเบิดในประเทศของตัวเอง แต่จะไม่นำระเบิดไปติดตั้งไว้ในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่” 

ตลอดช่วงสงคราม สหรัฐฯ ได้มอบทุ่นระเบิดต่อต้านรถถังขนาดใหญ่ให้กับยูเครน ซึ่งใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นทุ่นระเบิดเหล่านี้จะเฉื่อยชาลงเมื่อเวลาผ่านไป สำหรับระบบต่อต้านรถถังระยะไกล หรือ RAAM เป็นกระสุนปืนใหญ่ที่บรรจุทุ่นระเบิดต่อต้านรถถัง เมื่อยิงออกไปแล้ว ทุ่นระเบิดจะกระจัดกระจาย ซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับรถหุ้มเกราะได้ นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งให้ทุ่นระเบิดระเบิดเองได้ภายใน 4 ชั่วโมงหรือ 48 ชั่วโมง

สหรัฐฯ ไม่ได้ลงนาม ‘ห้ามการใช้ ผลิต และขนส่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคล’

สหรัฐฯ เป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศใหญ่ที่ยังไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาออตตาวาปี 1997 ซึ่งห้ามการใช้ ผลิต และขนส่งทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ต่อมาในปี 2022 มี 164 ประเทศที่ให้สัตยาบันหรือตกลงตามสนธิสัญญาดังกล่าว แต่ประเทศมหาอำนาจหลายแห่งซึ่งในอดีตและปัจจุบันเป็นผู้ผลิตทุ่นระเบิดก็ไม่ได้ลงนาม เช่น สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย ขณะเดียวกัน ทางฝั่งเกาหลีใต้ อินเดีย และปากีสถานก็ไม่ได้เข้าร่วมสนธิสัญญานี้เช่นกัน 

เมื่อต้นปีนี้ NATO กล่าวว่า การรุกรานยูเครนของรัสเซียทำให้ประเทศนี้กลายเป็นประเทศที่มีทุ่นระเบิดมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก 

“ปัจจุบัน 11 ใน 27 ภูมิภาคของยูเครนมีทุ่นระเบิดกระจัดกระจายอยู่ ทุ่นระเบิดของรัสเซียมีอันตรายร้ายแรงกว่า เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่ใช่ทุ่นระเบิดที่ค่อยๆ หมดสภาพไปตามเวลา” ฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าว 

การตัดสินใจของไบเดนได้รับการประณามจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลทันที โดยระบุว่า ทุ่นระเบิดประเภทนั้นเป็นภัยคุกคามต่อพลเรือน “นี่เป็นการตัดสินใจที่ประมาทเลินเล่อและสร้างความผิดหวังอย่างมากสำหรับประธานาธิบดีที่เคยยอมรับว่าทุ่นระเบิดทำให้พลเรือนมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายมากขึ้น...เป็นเรื่องน่าสลดใจและน่าตกใจที่ประธานาธิบดีไบเดนตัดสินใจที่ส่งผลร้ายแรงและอันตรายเช่นนี้...” เบน ลินเดน ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล สหรัฐฯ กล่าว

นโยบายของสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนแปลงไป

ในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน สหรัฐฯ มีเป้าหมายที่จะจำกัดการใช้ทุ่นระเบิดและเข้าร่วมสนธิสัญญา แต่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช รัฐบาลได้ถอนตัวเนื่องจากผู้นำกองทัพคัดค้านอย่างกว้างขวาง นโยบายภายใต้การนำของบุชคือ สหรัฐฯ จะใช้ทุ่นระเบิดที่ระเบิดได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะไม่กลายเป็นทุ่นระเบิดเฉื่อยโดยอัตโนมัติจนกว่าจะถึงปี 2010 จากนั้นจะไม่มีการใช้ทุ่นระเบิดดังกล่าวอีกต่อไป 

ต่อมาในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้สั่งให้ทบทวนนโยบายของสหรัฐฯ แต่สุดท้ายแล้ว โอบามาก็ห้ามกองทัพใช้ทุ่นระเบิดที่ฝังอยู่ที่ใดๆ ก็ตามในโลก ยกเว้นเพื่อป้องกันเกาหลีใต้ 

ในเดือนมกราคม 2020 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกเลิกคำสั่งห้ามที่โอบามาเคยประกาศ และยกเลิกข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์สำหรับการใช้ทุ่นระเบิดที่จะกลายเป็นระเบิดเฉื่อยเมื่อเวลาผ่านไป มาร์ก เอสเปอร์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เขียนในเวลานั้นว่า _“_ผู้บัญชาการอาจอนุญาตให้ใช้ทุ่นระเบิดที่ไม่ระเบิดถาวรได้เมื่อจำเป็นต่อความสำเร็จของภารกิจในเหตุการณ์ฉุกเฉินสำคัญ หรือสถานการณ์พิเศษอื่นๆ_”_ (สถานการณ์ฉุกเฉินสำคัญ ไม่ได้รับการกำหนดไว้อย่างชัดเจน) 

แต่เมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดนเข้ารับตำแหน่ง นโยบายของทรัมป์ก็ถูกยกเลิก และห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลนอกคาบสมุทรเกาหลี การตัดสินใจของรัฐบาลที่ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2022 ระบุว่าทุ่นระเบิดทั้งหมดที่ไม่จำเป็นต่อการป้องกันเกาหลีใต้จะต้องถูกทำลาย ในเวลานั้น มีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในคลังแสงของสหรัฐฯ ประมาณ 3 ล้านลูก แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมบอกว่าทุ่นระเบิดเหล่านั้นจะถือว่าจำเป็นต่อการป้องกันเกาหลีใต้กี่ลูก 

Photo by YASUYOSHI CHIBA / AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์