กองทัพสหรัฐฯ ประกาศว่าจะพยายามพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ลูกใหม่ที่ทรงพลังกว่าระเบิดที่เคยทิ้งในเมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนสิงหาคม 1945 ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง 24 เท่า
เอกสารของกระทรวงกลาโหมระบุว่า “อาวุธชนิดใหม่ซึ่งมีชื่อว่า ‘B61-13’ จะมีแรงระเบิดใกล้เคียงกับระเบิดนิวเคลียร์ ‘B61-7’ ที่มีแรงระเบิดเทียบเท่า 360,000 ตันของระเบิด TNT” เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ระเบิดปรมาณูที่ทิ้งลงในฮิโรชิมามีแรงระเบิด 15 กิโลตันของระเบิด TNT ขณะที่ระเบิดลูกใหม่มีพลังมากกว่าถึง 24 เท่า
อย่างไรก็ดี การประกาศดังกล่าวมีขึ้นเกือบ 1 ปีพอดีหลังจากการตีพิมพ์รายงานยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ ‘Nuclear Posture Review’ ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งเรียกร้องให้สหรัฐฯ ปรับปรุงคลังอาวุธนิวเคลียร์ที่เก่าแก่ของตัวเองให้ทันสมัย
“ในช่วงเวลาที่ความเสี่ยงด้านนิวเคลียร์เพิ่มสูงขึ้น กลยุทธ์การปรับปรุงใหม่บางส่วนไม่สามารถตอบสนองผลประโยชน์ของเราอีกต่อไป เราต้องพัฒนาเพื่อตามให้ทันภัยคุกคาม ตอบสนองต่อความไม่แน่นอน และรักษาประสิทธิภาพ” รายงานระบุ
จากข้อมูลของสหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกันระบุว่า “รัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ 5,977 ลูก ในขณะที่สหรัฐฯ มี 5,428 ลูก” นอกจากนี้รายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยังระบุอีกด้วยว่า “ระเบิด B61-13 จะถูกสร้างขึ้นด้วยหัวรบที่นำมาใช้ใหม่จากระเบิดรุ่นเก่า และจะได้รับการออกแบบเพื่อโจมตี ‘เป้าหมายทางทหารที่แข็งแกร่งกว่าและมีพื้นที่ขนาดใหญ่’…โดยจะรวมคุณลักษณะที่ทันสมัย ปลอดภัย มั่นคง และแม่นยำของระเบิด B61-12 ในยุคของโอบามาด้วย”
ในเดือนกรกฎาคม สำนักงานงบประมาณของรัฐสภารายงานว่า “กองกำลังนิวเคลียร์ในปัจจุบันของประเทศกำลังถึงจุดสิ้นสุดของอายุการใช้งาน และระบบการจัดส่งบางระบบอาจไม่สามารถยืดอายุการใช้งานออกไปได้อีก”
และ 1 เดือนก่อน ประธานาธิบดีไบเดนได้ออกมาเตือนว่าคำขู่ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีนั้นเป็น ‘เรื่องจริง’
ขณะที่ฝั่งจีน รายงานระบุว่าเมื่อเดือนพฤษภาคม จีนมีนิวเคลียร์ประมาณ 500 ลูก ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่ประมาณไว้เมื่อปีก่อน 400 ลูก นอกจากนี้ จีนยังได้ขยายกองทัพเรือประมาณ 370 ลำ โดยเพิ่มขึ้นจากประมาณ 340 ลำในปีที่แล้ว