มีการเปิดโปงครั้งใหม่ว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียพยายามลอยสังหาร อเล็กซานเดอร์ โปเตเยฟ อดีตเจ้าหน้าที่สายลับระดับสูงของรัสเซียที่ภายหลังเปลี่ยนมาเป็นสายลับให้สหรัฐฯ จนนำมาสู่การจับกุมตัวสายลับรัสเซียที่แฝงเข้าไปอยู่ตามเมืองต่างๆ ของสหรัฐฯ ถึง 11 คน รวมทั้ง แอนนา แชปแมน สายลับสาวผมแดงที่เขย่าความมั่นคงของสหรัฐฯ เมื่อปี 2010 (อ่านเรื่อง “สวยสังหารของจริง! ภารกิจเขย่าความมั่นคงสหรัฐฯ โดย ‘แอนนา แชปแมน’ สายลับผมแดงจากรัสเซีย” ได้ที่นี่)
ปูตินหัวเสีย
การเปิดโปงของโปเตเยฟสร้างความไม่พอใจให้ปูตินอย่างมาก เพราะปูตินถือว่าเป็นการทรยศประเทศ เมื่อเดือนธันวาคม 2010 ปูตินเผยในรายการโทรทัศน์ว่า “คนเหล่านั้นเสียสละชีวิตเพื่อรับใช้แผ่นดินเกิด แต่มันก็จะมีสัตว์ที่ทรยศพวกเขา เขาจะอยู่กับมันไปตลอดชีวิตได้ยังไง? เขาจะมองตาลูกๆ ของตัวเองยังไง? ไอ้หมูสกปรก!”
ตัวอย่างของการจัดการกับคนทรยศก็มีให้เห็นแล้ว เช่นในกรณีของ เซอร์เกย์ สกรีปาล อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองทหาร และลูกสาวที่ถูกลอบวางยาพิษสังหารหลังย้ายไปอยู่ที่เมืองซอลส์บรีของอังกฤษจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
โปเตเยฟคงรู้ชะตากรรมตัวเองดีจึงหลบหนีออกจากรัสเซียผ่านทางเบลารุสไปยังสหรัฐฯ ในปี 2010 โดยตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไมอามีในรัฐฟลอริดา ภายใต้โครงการคุ้มครองสายลับของ CIA ต่อมาในปี 2011 ศาลในกรุงมอสโกพิพากษาลับหลังจำเลยให้จำคุกโปเตเยฟ 25 ปีในข้อหาก่อกบฏ
กรกฎาคม 2016 Interfax สื่อรัสเซียรายงานข่าวว่า โปเตเยฟเสียชีวิตในสหรัฐฯ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเพียงแผนของปูตินที่จะหลอกล่อให้โปเตเยฟเผยตัวออกมา โดยในเวลาเดียวกันนั้นโปเตเยฟอยู่ที่ฟลอริดาโดยใช้ชื่อจริงในการขอใบอนุญาตตกปลาและลงทะเบียนเลือกตั้ง ซึ่งสร้างความแปลกใจให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไม่น้อย และในที่สุดก็ทำให้รัสเซียรู้พิกัดของเขา
ปฏิบัติการล่าตัว
ทางการรัสเซียบีบบังคับให้ เฮคเตอร์ อเลฮานโดร คาเบรลา ฟูเอนเตส นักวิทยาศาสตร์ชาวเม็กซิโกช่วยเหลือในการตามตัวโปเตเยฟโดยใช้ภรรยาและลูกของฟูเอนเตสเป็นตัวประกัน คำฟ้องของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า ฟูเอนเตสยอมช่วยเจ้าหน้าที่ข่าวกรองรัสเซียราวเดือนพฤษภาคม 2019 หลังจากภรรยาคนที่ 2 ซึ่งเป็นชาวรัสเซียและลูกสาวอีก 2 คนเดินทางจากเยอรมนีไปรัสเซีย แต่เจ้าหน้าที่รัสเซียไม่ยอมให้ทั้ง 3 คนเดินทางออกจากรัสเซีย
ฟูเอนเตสซึ่งขณะนั้นทำงานเป็นนักวิจัยอยู่ที่ศูนย์หัวใจแห่งชาติในสิงคโปร์ตัดสินใจเดินทางไปกรุงมอสโก และได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่รัสเซียที่ไม่เปิดเผยชื่อรายหนึ่งที่เขาเคยรู้จักจาก "การประชุมและการแลกเปลี่ยนทางวิชาชีพ" ก่อนหน้านี้ และมีการนัดพบกัน โดยเจ้าหน้าที่คนนี้บอกว่าสามารถช่วยเคลียร์เองภรรยาและลูกๆ ของฟูเอนเตสได้ และขอให้ฟูเอนเตสรับงานตามล่าตัวโปเตเยฟเป็นการแลกเปลี่ยนกัน
เจ้าหน้าที่รัสเซียคนดังกล่าวสั่งให้ฟูเอนเตสเช่าอพาร์ตเมนต์ในไมอามีซึ่งเป็นย่านที่โปเตเยฟพักอยู่โดยให้ใช้ชื่อคนอื่น ฟูเอนเตสเช่าอพาร์ตเมนต์ได้ในเดือนธันวาคม 2019 และในเดือนเดียวกันนี้เขายังพบกับเจ้าหน้าที่รัสเซียคนเดิมอีกครั้งหนึ่ง และได้รับคำสั่งให้ระบุพิกัดรถยนต์และจดเลขทะเบียนของโปเตเยฟที่จอดอยู่ในที่จอดรถของที่พัก แต่มีข้อแม้ว่าห้ามถ่ายรูปรถ
แผนล้มเหลว
ระหว่างที่ฟูเอนเตสพยายามขับรถเข้าไปในบริเวณที่พักของโปเตเยฟโดยการขับตามหลังรถยนต์คันอื่นที่กำลังขับผ่านประตูรักษาความปลอดภัยเข้าไป เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเรียกให้หยุดรถ ระหว่างนั้นเองภรรยาของฟูเอนเตสได้ถ่ายรูปแผ่นป้ายทะเบียนรถของโปเตเยฟไว้ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกกล้องวงจรปิดบันทึกไว้
16 กุมภาพันธ์ 2020 2 วันหลังจากฟูเอนเตสและภรรยาพยายามเข้าไปที่ที่พักของโปเตยฟ พวกเขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรสหรัฐฯ ที่สนามบินไมอามีควบคุมตัวไว้ขณะเตรียมเดินทางไปเม็กซิโกซิตี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบโทรศัพท์ของภรรยาฟูเอนเตสและพบภาพทะเบียนรถและภาพที่เธอส่งเข้าวอทส์แอปของสามี
วันถัดมาฟูเอนเตสถูกเอฟบีไอสอบสวน โดยเจ้าตัวเล่าถึงสถานการณ์ของภรรยาอีกคนหนึ่งและลูกๆ ที่ยังติดอยู่ที่รัสเซีย และได้มอบข้อความต่างๆ ที่เจ้าตัวคุยกับชายคนหนึ่งที่น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยข่าวกรองเอฟเอสบีของรัสเซียให้ทางการสหรัฐฯ และถูกตั้งข้อหาเจ้าหน้าที่ต่างชาติที่ไม่ขึ้นทะเบียนและถูกจำคุก 4 ปี
เรารู้ว่าเขาเป็นใครและอยู่ที่ไหน
ในการรายงานข่าวเกี่ยวกับการแปรพักตร์ของเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง หนังสือพิมพ์ Kommersant อ้างถึงเจ้าหน้าที่ที่ไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่งของเครมลินที่พูดถึงชื่อของ รามอน เมอร์เคเดอร์ เจ้าหน้าที่โซเวียตที่ลอบสังหาร เลออน ตรอสกี นักการเมืองโซเวียต โดยใช้เครื่องมือเซาะน้ำแข็ง (ice pick) ที่เม็กซิโกซิตีเมื่อปี 1940
เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดว่า “เรารู้ว่าเขาเป็นใครและอยู่ที่ไหน เขาอาจจะหักหลังเพราะเงิน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ขอให้มั่นใจได้เลยว่าเมอร์เคเดอร์ถูกส่งไปหาเขาแล้ว” โดย Kommersant ระบุว่าคนที่ทรยศคือเจ้าหน้าที่ข่าวกรองอีกคนหนึ่ง แต่ไม่กี่วันต่อมากลับระบุชื่อโปเตเยฟต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัสเซียส่งฟูเอนเตสไปตามล่าตัวโปเตเยฟ รายงานเมื่อปี 2018 ของ New York Times ระบุว่า ช่วงปลายปี 2013 หรือต้นปี 2014 มีรายงานว่าฟูเอนเตสเดินทางไปฟลอริดาเพื่อตามหาตัวเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองรัสเซียที่แปรพักตร์ ซึ่งในภายหลัง BBC ระบุว่าเป็นโปเตเยฟ
สหรัฐฯ เอาคืน
หลังจับกุมฟูเอนเตสได้ รัฐบาลสหรัฐฯ ตอบโต้รัสเซียด้วยการออกมาตรการคว่ำบาตรและขับนักการทูตรัสเซีย 10 คน ซึ่งรวมถึงหัวหน้าสถานีของหน่วยข่าวกรองต่างประเทศ (SVR) ออกจากสหรัฐฯ ส่วนทางรัสเซียตอบโต้กลับด้วยการขับนักการทูตสหรัฐฯ 10 คน รวมทั้งหัวหน้าสถานีซีไอเอในมอสโก
ปูตินหัวเสีย
การเปิดโปงของโปเตเยฟสร้างความไม่พอใจให้ปูตินอย่างมาก เพราะปูตินถือว่าเป็นการทรยศประเทศ เมื่อเดือนธันวาคม 2010 ปูตินเผยในรายการโทรทัศน์ว่า “คนเหล่านั้นเสียสละชีวิตเพื่อรับใช้แผ่นดินเกิด แต่มันก็จะมีสัตว์ที่ทรยศพวกเขา เขาจะอยู่กับมันไปตลอดชีวิตได้ยังไง? เขาจะมองตาลูกๆ ของตัวเองยังไง? ไอ้หมูสกปรก!”
ตัวอย่างของการจัดการกับคนทรยศก็มีให้เห็นแล้ว เช่นในกรณีของ เซอร์เกย์ สกรีปาล อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองทหาร และลูกสาวที่ถูกลอบวางยาพิษสังหารหลังย้ายไปอยู่ที่เมืองซอลส์บรีของอังกฤษจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
โปเตเยฟคงรู้ชะตากรรมตัวเองดีจึงหลบหนีออกจากรัสเซียผ่านทางเบลารุสไปยังสหรัฐฯ ในปี 2010 โดยตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไมอามีในรัฐฟลอริดา ภายใต้โครงการคุ้มครองสายลับของ CIA ต่อมาในปี 2011 ศาลในกรุงมอสโกพิพากษาลับหลังจำเลยให้จำคุกโปเตเยฟ 25 ปีในข้อหาก่อกบฏ
กรกฎาคม 2016 Interfax สื่อรัสเซียรายงานข่าวว่า โปเตเยฟเสียชีวิตในสหรัฐฯ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเพียงแผนของปูตินที่จะหลอกล่อให้โปเตเยฟเผยตัวออกมา โดยในเวลาเดียวกันนั้นโปเตเยฟอยู่ที่ฟลอริดาโดยใช้ชื่อจริงในการขอใบอนุญาตตกปลาและลงทะเบียนเลือกตั้ง ซึ่งสร้างความแปลกใจให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงไม่น้อย และในที่สุดก็ทำให้รัสเซียรู้พิกัดของเขา
ปฏิบัติการล่าตัว
ทางการรัสเซียบีบบังคับให้ เฮคเตอร์ อเลฮานโดร คาเบรลา ฟูเอนเตส นักวิทยาศาสตร์ชาวเม็กซิโกช่วยเหลือในการตามตัวโปเตเยฟโดยใช้ภรรยาและลูกของฟูเอนเตสเป็นตัวประกัน คำฟ้องของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า ฟูเอนเตสยอมช่วยเจ้าหน้าที่ข่าวกรองรัสเซียราวเดือนพฤษภาคม 2019 หลังจากภรรยาคนที่ 2 ซึ่งเป็นชาวรัสเซียและลูกสาวอีก 2 คนเดินทางจากเยอรมนีไปรัสเซีย แต่เจ้าหน้าที่รัสเซียไม่ยอมให้ทั้ง 3 คนเดินทางออกจากรัสเซีย
ฟูเอนเตสซึ่งขณะนั้นทำงานเป็นนักวิจัยอยู่ที่ศูนย์หัวใจแห่งชาติในสิงคโปร์ตัดสินใจเดินทางไปกรุงมอสโก และได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่รัสเซียที่ไม่เปิดเผยชื่อรายหนึ่งที่เขาเคยรู้จักจาก "การประชุมและการแลกเปลี่ยนทางวิชาชีพ" ก่อนหน้านี้ และมีการนัดพบกัน โดยเจ้าหน้าที่คนนี้บอกว่าสามารถช่วยเคลียร์เองภรรยาและลูกๆ ของฟูเอนเตสได้ และขอให้ฟูเอนเตสรับงานตามล่าตัวโปเตเยฟเป็นการแลกเปลี่ยนกัน
เจ้าหน้าที่รัสเซียคนดังกล่าวสั่งให้ฟูเอนเตสเช่าอพาร์ตเมนต์ในไมอามีซึ่งเป็นย่านที่โปเตเยฟพักอยู่โดยให้ใช้ชื่อคนอื่น ฟูเอนเตสเช่าอพาร์ตเมนต์ได้ในเดือนธันวาคม 2019 และในเดือนเดียวกันนี้เขายังพบกับเจ้าหน้าที่รัสเซียคนเดิมอีกครั้งหนึ่ง และได้รับคำสั่งให้ระบุพิกัดรถยนต์และจดเลขทะเบียนของโปเตเยฟที่จอดอยู่ในที่จอดรถของที่พัก แต่มีข้อแม้ว่าห้ามถ่ายรูปรถ
แผนล้มเหลว
ระหว่างที่ฟูเอนเตสพยายามขับรถเข้าไปในบริเวณที่พักของโปเตเยฟโดยการขับตามหลังรถยนต์คันอื่นที่กำลังขับผ่านประตูรักษาความปลอดภัยเข้าไป เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเรียกให้หยุดรถ ระหว่างนั้นเองภรรยาของฟูเอนเตสได้ถ่ายรูปแผ่นป้ายทะเบียนรถของโปเตเยฟไว้ โดยเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ถูกกล้องวงจรปิดบันทึกไว้
16 กุมภาพันธ์ 2020 2 วันหลังจากฟูเอนเตสและภรรยาพยายามเข้าไปที่ที่พักของโปเตยฟ พวกเขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรสหรัฐฯ ที่สนามบินไมอามีควบคุมตัวไว้ขณะเตรียมเดินทางไปเม็กซิโกซิตี เจ้าหน้าที่ตรวจสอบโทรศัพท์ของภรรยาฟูเอนเตสและพบภาพทะเบียนรถและภาพที่เธอส่งเข้าวอทส์แอปของสามี
วันถัดมาฟูเอนเตสถูกเอฟบีไอสอบสวน โดยเจ้าตัวเล่าถึงสถานการณ์ของภรรยาอีกคนหนึ่งและลูกๆ ที่ยังติดอยู่ที่รัสเซีย และได้มอบข้อความต่างๆ ที่เจ้าตัวคุยกับชายคนหนึ่งที่น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยข่าวกรองเอฟเอสบีของรัสเซียให้ทางการสหรัฐฯ และถูกตั้งข้อหาเจ้าหน้าที่ต่างชาติที่ไม่ขึ้นทะเบียนและถูกจำคุก 4 ปี
เรารู้ว่าเขาเป็นใครและอยู่ที่ไหน
ในการรายงานข่าวเกี่ยวกับการแปรพักตร์ของเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง หนังสือพิมพ์ Kommersant อ้างถึงเจ้าหน้าที่ที่ไม่เปิดเผยชื่อคนหนึ่งของเครมลินที่พูดถึงชื่อของ รามอน เมอร์เคเดอร์ เจ้าหน้าที่โซเวียตที่ลอบสังหาร เลออน ตรอสกี นักการเมืองโซเวียต โดยใช้เครื่องมือเซาะน้ำแข็ง (ice pick) ที่เม็กซิโกซิตีเมื่อปี 1940
เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดว่า “เรารู้ว่าเขาเป็นใครและอยู่ที่ไหน เขาอาจจะหักหลังเพราะเงิน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ขอให้มั่นใจได้เลยว่าเมอร์เคเดอร์ถูกส่งไปหาเขาแล้ว” โดย Kommersant ระบุว่าคนที่ทรยศคือเจ้าหน้าที่ข่าวกรองอีกคนหนึ่ง แต่ไม่กี่วันต่อมากลับระบุชื่อโปเตเยฟต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัสเซียส่งฟูเอนเตสไปตามล่าตัวโปเตเยฟ รายงานเมื่อปี 2018 ของ New York Times ระบุว่า ช่วงปลายปี 2013 หรือต้นปี 2014 มีรายงานว่าฟูเอนเตสเดินทางไปฟลอริดาเพื่อตามหาตัวเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองรัสเซียที่แปรพักตร์ ซึ่งในภายหลัง BBC ระบุว่าเป็นโปเตเยฟ
สหรัฐฯ เอาคืน
หลังจับกุมฟูเอนเตสได้ รัฐบาลสหรัฐฯ ตอบโต้รัสเซียด้วยการออกมาตรการคว่ำบาตรและขับนักการทูตรัสเซีย 10 คน ซึ่งรวมถึงหัวหน้าสถานีของหน่วยข่าวกรองต่างประเทศ (SVR) ออกจากสหรัฐฯ ส่วนทางรัสเซียตอบโต้กลับด้วยการขับนักการทูตสหรัฐฯ 10 คน รวมทั้งหัวหน้าสถานีซีไอเอในมอสโก