เข้าใกล้ขึ้นไปทุกทีกับการเลือกตั้งของประเทศไทย ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนหน้านี้ไทยได้มีการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้ากันไปแล้ว ซึ่งบรรยากาศก็มีประชาชนแห่แหนมาลงคะแนนอย่างคึกคัก แม้จะต้องยืนรอท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัดก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนที่ต้องการใช้สิทธิใช้เสียงของตัวเอง แต่กับคนที่ตั้งใจว่าจะ ‘ไม่ไปเลือกตั้ง’ ล่ะ?
วันนี้เรายกโมเดลของประเทศ ‘สิงคโปร์’ มาให้ดูว่าคนที่ไม่ไปเลือกตั้งจะได้รับบทลงโทษยังไงบ้าง รุนแรงถึงขั้นที่ทำให้คนในชาตินี้ไปใช้สิทธิกันสูงถึง 96% เลยหรือ
ตามข้อมูลของกรมการเลือกตั้งของสิงคโปร์ ระบุว่า ในปี 2020 ที่ผ่านมา ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 2,565,000 คน หรือกว่า 96% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียน ได้ลงคะแนนเสียงที่หน่วยเลือกตั้งในสิงคโปร์
“จำนวนผู้ลงคะแนนครั้งนี้สูงกว่าการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2015 ซึ่งมีคะแนนเสียง 2,304,331 เสียง (93.56%) ของผู้ลงคะแนนเสียงที่ลงทะเบียนไว้” ELD กล่าว โดยก่อนหน้านี้ ELD ได้ประกาศขยายเวลาลงคะแนนเป็น 22.00 น. เพื่อรองรับการต่อคิวที่ยาวเหยียดในหน่วยเลือกตั้งจำนวนน้อย และเพื่อให้มีเวลาเพียงพอสำหรับผู้ลงคะแนนทุกคนในการลงคะแนนเสียง
96% ของสิงคโปร์ เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ในกรณีที่สิ้นสุดระยะเวลาในการเลือกตั้งไปแล้ว เจ้าหน้าที่จะกลับมารวบรวมรายชื่อของผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ไปลงคะแนนเสียง และทำการ ‘ลบ’ ชื่อบุคคลนั้นออกจากทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตที่บุคคลนั้นมีชื่ออยู่
ซึ่งผู้ที่ไม่ลงคะแนนเสียงจะไม่สามารถลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือรัฐสภาในครั้งต่อๆ ไป ได้อีก และจะถูกตัดสิทธิ์จากการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือรัฐสภาครั้งต่อๆ ไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตามบุคคลดังกล่าว สามารถเรียกคืนชื่อของตนได้ โดยต้องยื่นคำขอต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมคำอธิบายว่าเหตุใดจึงไม่ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง นี่อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาเพราะของไทยเองก็เป็นลักษณะนี้ แต่สิ่งที่สิงคโปร์มีไม่เหมือนเราคือ ‘ค่าปรับ’ เมื่อเราตั้งใจจะไม่ไปเลือกตั้ง
นอกจากจะให้เขียนเหตุผลแล้วว่าทำไมถึงไม่ไปเลือกตั้งแล้ว ยังมีการตรวจสอบเหตุผลนั้นๆ ด้วย และหากตรวจสอบแล้วว่าผู้ที่ไม่ไปเลือกตั้งไม่มีเหตุผลที่ถูกต้อง และเพียงพอสำหรับการไม่ไปเลือกตั้ง จะถูกลงโษปรับเป็นเงิน 50 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราวๆ 1,200 บาท
เหตุผลที่ยอมรับได้ของการไม่ไปเลือกตั้งในสิงคโปร์มีอะไรบ้าง
วันนี้เรายกโมเดลของประเทศ ‘สิงคโปร์’ มาให้ดูว่าคนที่ไม่ไปเลือกตั้งจะได้รับบทลงโทษยังไงบ้าง รุนแรงถึงขั้นที่ทำให้คนในชาตินี้ไปใช้สิทธิกันสูงถึง 96% เลยหรือ
ตามข้อมูลของกรมการเลือกตั้งของสิงคโปร์ ระบุว่า ในปี 2020 ที่ผ่านมา ผู้มีสิทธิเลือกตั้งประมาณ 2,565,000 คน หรือกว่า 96% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียน ได้ลงคะแนนเสียงที่หน่วยเลือกตั้งในสิงคโปร์
“จำนวนผู้ลงคะแนนครั้งนี้สูงกว่าการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2015 ซึ่งมีคะแนนเสียง 2,304,331 เสียง (93.56%) ของผู้ลงคะแนนเสียงที่ลงทะเบียนไว้” ELD กล่าว โดยก่อนหน้านี้ ELD ได้ประกาศขยายเวลาลงคะแนนเป็น 22.00 น. เพื่อรองรับการต่อคิวที่ยาวเหยียดในหน่วยเลือกตั้งจำนวนน้อย และเพื่อให้มีเวลาเพียงพอสำหรับผู้ลงคะแนนทุกคนในการลงคะแนนเสียง
96% ของสิงคโปร์ เกิดขึ้นได้อย่างไร?
ในกรณีที่สิ้นสุดระยะเวลาในการเลือกตั้งไปแล้ว เจ้าหน้าที่จะกลับมารวบรวมรายชื่อของผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ไปลงคะแนนเสียง และทำการ ‘ลบ’ ชื่อบุคคลนั้นออกจากทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตที่บุคคลนั้นมีชื่ออยู่
ซึ่งผู้ที่ไม่ลงคะแนนเสียงจะไม่สามารถลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือรัฐสภาในครั้งต่อๆ ไป ได้อีก และจะถูกตัดสิทธิ์จากการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือรัฐสภาครั้งต่อๆ ไปเช่นกัน
อย่างไรก็ตามบุคคลดังกล่าว สามารถเรียกคืนชื่อของตนได้ โดยต้องยื่นคำขอต่อเจ้าหน้าที่ พร้อมคำอธิบายว่าเหตุใดจึงไม่ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง นี่อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาเพราะของไทยเองก็เป็นลักษณะนี้ แต่สิ่งที่สิงคโปร์มีไม่เหมือนเราคือ ‘ค่าปรับ’ เมื่อเราตั้งใจจะไม่ไปเลือกตั้ง
นอกจากจะให้เขียนเหตุผลแล้วว่าทำไมถึงไม่ไปเลือกตั้งแล้ว ยังมีการตรวจสอบเหตุผลนั้นๆ ด้วย และหากตรวจสอบแล้วว่าผู้ที่ไม่ไปเลือกตั้งไม่มีเหตุผลที่ถูกต้อง และเพียงพอสำหรับการไม่ไปเลือกตั้ง จะถูกลงโษปรับเป็นเงิน 50 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราวๆ 1,200 บาท
เหตุผลที่ยอมรับได้ของการไม่ไปเลือกตั้งในสิงคโปร์มีอะไรบ้าง
- ทำงานอยู่ในต่างประเทศ (รวมถึงการเดินทางไปทำธุรกิจ) ในขณะที่มีการจัดการเลือกตั้ง
- เรียนอยู่ในต่างประเทศ ในขณะที่มีการจัดการเลือกตั้ง
- อาศัยอยู่กับคู่สมรสที่ทำงานหรือศึกษาอยู่ในต่างประเทศ
- ท่องเที่ยวอยู่ในต่างประเทศ
- เจ็บป่วย หรือคลอดบุตร