เมื่อความเหลื่อมล้ำทางรายได้ก่อเกิดเป็น ‘วัฒนธรรมการให้ทิป’
บางครั้งการดำรงชีพของบางคนก็ขึ้นอยู่กับเงินที่ได้รับจากทิป ดังนั้นการวางเงินพิเศษเพื่อช่วยคนที่นำอาหารมาเสิร์ฟให้คุณจึงเป็นที่คาดหวังในหลายๆ ประเทศเนื่องจากการให้ทิปมักคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของบิลค่าอาหาร พนักงานจำนวนมากจึงตั้งหน้าตั้งตารอลูกค้ารายใหญ่ เพราะยิ่งพวกเขาใช้จ่ายมากเท่าไหร่ สัดส่วนการให้ทิปก็จะมากขึ้นเท่านั้น
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องของพนักงานสาวเสิร์ฟคนหนึ่งที่ออกมาเล่าว่า เคยตกงานหลังจากที่เธอบ่นบนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับคำสั่งซื้ออาหาร 735 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 26,200 บาท) แต่เธอกลับไม่ได้รับทิปเลย
เรื่องมีอยู่ว่า…
ย้อนกลับไปในปี 2018 ทัมลินน์ โยเดอร์ เป็นพนักงานร้านอาหารอเมริกัน Outback Steakhouse เมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดา ระหว่างที่เธอเข้ากะคริสตจักรท้องถิ่นแห่งหนึ่งสั่งสเต็กจำนวน 25 ชิ้น ไก่ 25 ชิ้น และมันฝรั่ง 25 ชิ้น ซึ่งทัมลินน์เป็นคนรับออร์เดอร์
ปรากฏว่าผู้ที่มารับอาหารที่ทางคริสตจักรสั่งไม่ได้จ่ายทิปให้โยเดอร์แต่อย่างใด หลังจากนั้น เธอก็ไปบ่นบนโซเชียลมีเดียหลังจากได้ทิปรวมทั้งหมดเพียง 18 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 640 บาท) ในช่วงเวลาเธอเข้ากะ แต่ไม่ได้บอกว่าเธอทำงานที่ไหนในโพสต์ดังกล่าว
ทว่าในวันรุ่งขึ้นเมื่อเธอไปทำงานก็ได้รับแจ้งว่าทางโบสถ์ได้รับเงิน 735 ดอลลาร์สหรัฐ คืนตามออร์เดอร์ที่พวกเขาสั่ง และทัมลินน์ถูกไล่ออก
ทางร้าน Outback Steakhouse กล่าวว่า มีนโยบายของบริษัทที่ห้ามไม่ให้พนักงานพูดถึงลูกค้าทางออนไลน์ ส่วนทางโบสถ์หลังจากได้ยินเรื่องนี้ก็กล่าวว่าปกติแล้วพวกเขาจะให้ทิปเมื่อสั่งอาหาร แต่อาสาสมัครที่ไปรับไม่รู้เรื่องนั้น พวกเขาจึงรวบรวมเงินให้ทัมลินน์
ขณะที่ทัมลินน์บอกว่าค่าตอบแทนที่พวกเขาให้เธอนั้น ‘มากกว่าทิป’ ที่ควรจะได้ซะอีก
นอกจากนี้ คนที่ทำงานในอุตสาหกรรมบริการก็มักกล่าวว่า การรับรู้เรื่องการให้ทิปเปลี่ยนไปหลังจากได้ยินเรื่องราวดังกล่าว และแน่นอนว่าก็มีบางคนที่ไม่ได้คลั่งไคล้ ‘วัฒนธรรมการให้ทิป’ ด้วยเหมือนกัน โดยมองว่ามันคงจะดีกว่าถ้าหากพนักงานได้รับค่าจ้างที่ยุติธรรมและมีทิปเป็นโบนัสพิเศษมากกว่าเป็นข้อผูกมัด
แม้ไม่ใช่ระบบที่สมบูรณ์แบบ แต่ตราบใดที่ผู้คนยังไม่ได้รับค่าจ้างอย่างเหมาะสม การให้ทิปก็ยังคงอยู่ต่อไป