โลกปัจจุบันของเราทุกวันนี้เต็มไปด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสุดทันสมัยที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งรวมไปถึงปัญญาประดิษฐ์ ‘AI’ ด้วยที่นับวันมีแต่จะยิ่งทวีคูณความฉลาดมากขึ้นทุกที ความสามารถของมันถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็วถึงขั้นที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนต้องออกมาเตือนถึงอันตรายของมันว่า “ ‘AI’ เป็นหนึ่งในภัยคุกคามตัวร้ายที่อาจทำลายมนุษยชาติและอาจทำให้โลกถึงกาลอวสานได้”
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ มันสามารถทำให้มนุษย์ที่มีมันสมองอย่างเรา ‘ตกงาน’ ได้ และในตอนนี้กลับกลายเป็นการแข่งขันในตลาดแรงงานระหว่าง ‘มนุษย์’ กับ ‘AI’ ซะงั้น แถมมันยังแย่งงานเราไปแล้ว 300 ล้านตำแหน่ง แต่รู้หรือไม่ว่ามันก็ยังมีอยู่บางอาชีพนะที่ ‘AI’ ไม่สามารถเข้ามาทำแทนมนุษย์ได้ หรือถึงได้ทำ ประสิทธิภาพก็ออกมาไม่ดีเท่า ‘มนุษย์’ ทำอยู่ดี!
อาชีพอะไรบ้างนะที่ ‘AI’ ไม่มีวันที่จะแย่งจากเราไปได้?
ศัลยแพทย์
แน่นอนว่าเทคโนโลยีช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยทางการแพทย์และตรวจหาโรคได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งหุ่นยนต์เคลื่อนที่ ‘ไมโครโรบอติกส์’ ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำของศัลยแพทย์เวลาทำการผ่าตัด ซึ่งช่วยย่นขั้นตอนการผ่าตัดให้น้อยลงด้วย
แต่การเป็น ‘ศัลยแพทย์’ ต้องอาศัยทั้งประสบการณ์ ความรู้ และทักษะที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายปี อีกทั้งยังต้องปรับตัวและเผชิญกับภาวะกดดันอย่างไม่คาดคิด รวมถึงการตัดสินใจในห้องผ่าตัดแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ พวกเขาต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และความแตกต่างเฉพาะในแต่ละโรคของผู้ป่วยอีกด้วย
คุณสมบัติและทักษะที่กล่าวมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่อง ‘ยาก’ สำหรับ ‘AI’ ทั้งสิ้น นั่นจึงทำให้ศัลยแพทย์กลายเป็นหนึ่งในอาชีพที่ ‘AI’ จะเข้ามาแย่งงานได้ยากที่สุด หรือแย่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
นักกีฬา
‘AI’ ไม่สามารถเข้ามาแทนที่นักกีฬามืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากขาดความสามารถทางกายภาพที่ซับซ้อน การฝึกซ้อม และความฉลาดทางอารมณ์ เนื่องจากส่วนหนึ่งของเสน่ห์ด้านกีฬาคือ ‘องค์ประกอบของมนุษย์’ ได้แก่
- ความหลงใหลในกีฬา
- การแข่งขัน
- ความรู้สึกของการได้รับชัยชนะและการยอมรับว่าเป็นผู้แพ้
แม้ ‘AI’ จะสามารถช่วยเหลือในบางแง่มุมของกีฬาได้ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การเพิ่มประสิทธิภาพอุปกรณ์การแข่งขัน หรือ VAR ช่วยตัดสินผลการแข่งขันก็ตาม แต่มันจะแปลกๆ ไปไหมถ้าเราต้องมานั่งดูหุ่นยนต์แข่งฟุตบอลโลกแทนที่จะได้ดูนักเตะที่เราชื่นชอบแทน
นักดนตรี / ศิลปิน
อาชีพนักดนตรีและศิลปินกลายเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่จะไม่มีวันตกงานเพราะถูก ‘AI’ แย่งงานอย่างแน่นอน ด้วยทักษะการฝึกฝน ความแม่นยำทางด้านดนตรีอีกเช่นเคย แม้ ‘AI’ จะมีความสามารถในการบรรเลงหรือร้องเพลงได้ก็จริง แต่มันคงจะเป็นการแสดงที่น่าเบื่อหน่าย ไม่ฟินเท่ากับการฟังดนตรีสดและดูโชว์ของนักร้องที่เราชื่นชอบมากกว่า
นอกจากนี้ อาชีพนี้ยังต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการสูง อารมณ์ศิลปิน และความสามารถในการถ่ายทอดความรู้สึกผ่านอารมณ์เพลง ผ่านน้ำเสียง หรือผ่านเสียงดนตรี เช่น การแต่งเพลง ซึ่ง ‘AI’ ก็สามารถทำได้เหมือนกัน แต่มันไม่สามารถผสมผสานกับประสบการณ์ส่วนตัว รวมถึงอารมณ์ที่ทำให้เพลงนั้นมีความหมายอย่างแท้จริงได้ และคนฟังอาจไม่เข้าใจความหมายที่เพลงจะสื่อออกมา
ผู้พิพากษา-ทนายความ
อาชีพนักกฎหมายเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการเจรจาต่อรอง ต้องมีกลยุทธ์ มีไหวพริบ และการวิเคราะห์คดีต่างๆ ซึ่งทักษะหลายๆ อย่างขึ้นอยู่กับประสบการณ์ส่วนตัวและความรู้ของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน
- ทนายความต้องใช้ทักษะในการพูด โต้แย้ง ซักถามตามระบบกฎหมายที่ซับซ้อนเพื่อปกป้องลูกความในชั้นศาล
- ผู้พิพากษาต้องพิจารณาคดีด้วยเหตุและผลจากหลักฐาน รวมถึงทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายตามข้อกฎหมาย
‘AI’ ไม่มีทางเข้าใจความเป็นเหตุและผล รวมถึงสถานการณ์ความเป็นจริง และไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกที่อยากจะช่วยลูกความ
ลองคิดดูสิว่ามันน่าสบายใจจริงๆ ใช่ไหมถ้าตัวแทนว่าความของคุณเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนข้อมูลอะไรเข้าไปก็ไม่รู้ หรือหุ่นยนต์ผู้พิพากษาจะตัดสินคดีอย่างไรกันล่ะ เข้าใจข้อกฎหมายจริงๆ หรอ?
นักการเมือง
หนึ่งในความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดในคุณสมบัติที่มนุษย์มีเมื่อเทียบกับเครื่องจักรหรือ ‘AI’ ก็คือ จริงๆ แล้วเราค่อนข้างเก่งในการคิดวิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์สำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน และ ‘นักการเมือง’ จำเป็นต้องเชี่ยวชาญทักษะนี้
และแน่นอนว่าเราได้เห็นความชัดเจนของการใช้ทักษะนี้ของผู้นำแล้วเมื่อไม่นานมานี้เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบันนั่นเอง และการตัดสินใจของผู้นำบางคนส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อผลลัพธ์ของการแพร่กระจายของไวรัสด้วย
ลองจินตนาการดูสิว่าคุณจะโหวตให้หุ่นยนต์เป็นตัวแทนของมนุษย์และความต้องการของมนุษย์ส่วนใหญ่จริงๆ หรือไม่? หุ่นยนต์จะเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมือง หรือจะเข้ามาสร้างปัญหากันแน่นะ?
ครู / อาจารย์
การเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญในชีวิตของเรา ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วเราใช้เวลาระหว่าง 15-20 ปีแรกในการสั่งสมความรู้และประสบการณ์เพื่อปูทางไปสู่อาชีพ มันเป็นขั้นตอนสำคัญในชีวิตของเรา ดังนั้น ‘ครู’ จึงเป็นเหมือนแรงขับเคลื่อนที่ถ่ายทอดความรู้และทักษะต่างๆ ให้เรา
แม้ว่า ‘AI’ จะเป็นครูที่สามารถอธิบายให้ข้อมูลและเป็นเครื่องมือค้นคว้าอำนวยความสะดวกด้านการศึกษาหรือการฝึกอบรมได้เป็นอย่างดี แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างซึ่ง ‘AI’ ไม่อาจเข้ามาแทนอาชีพ ‘ครู’ ได้ก็คือ อารมณ์ความรู้สึก การให้คำปรึกษาและแนวคิดที่มีคุณค่า ฉะนั้นมันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูต้องเป็น ‘มนุษย์’ เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน
บางครั้งเหล่าลูกศิษย์ก็เคารพรักครูของพวกเขาจนยกให้เป็น ‘พ่อ / แม่’ คนที่ 2 ก็มี ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ ‘AI’ ไม่มีและไม่มีวันทำได้
แต่มันจะดีกว่าไหมนะถ้าเราสามารถสร้างความสมดุลระหว่างพื้นที่ ‘มนุษย์’ กับ ‘AI’ พร้อมทั้งสร้างขอบเขตจำกัด และขีดความสามารถให้ ‘AI’ อย่างพอดี หรือมันสายไปซะแล้ว? มันจะมีวิธีไหนที่ ‘AI’ จะทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสมดุลและไม่สร้างความเดือดร้อนไหมนะ? นี่อาจเป็นผลข้างเคียงทางลบสินะ!