หลังจากที่ ‘แซม อัลท์แมน’ ถูกไล่ออกจากตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของ OpenAI เมื่อวันศุกร์ (17 พ.ย.) ที่ผ่านมา ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั้งโลกเทคโนโลยี และกลิ่นดรามาที่เริ่มก่อตัวขึ้นในอาณาจักรซิลิคอน วัลเลย์ (Silicon Valley) เนื่องจากอัลท์แมนไม่ใช่เพียงซีอีโอที่อยู่เบื้องหลังแชทบอทปัญญาประดิษฐ์ชื่อดังอย่าง ChatGPT เท่านั้น แต่เขายังปฏิวัติวงการ AI และสร้างความประทับใจให้กับสาธารณชน เหล่านักลงทุน และผู้คนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกด้วย
ในเมื่ออัลท์แมนคือบุคคลที่ควรค่าแก่การรักษาไว้อย่างยิ่ง แล้วทำไม OpenAI ถึงสะบัดเขาออกจากเก้าอี้ผู้บริหารอย่างง่ายดายเช่นนั้น? วันนี้เราจะมาไล่เรียงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงเวลาที่ผ่านมาให้ทุกคนได้อ่านกัน
OpenAI คืออะไร?
OpenAI เป็นบริษัทเทคฯ สัญชาติอเมริกัน ตั้งอยู่ในซานฟรานซิสโก และเป็นเจ้าของ ChatGPT แชทบอทปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลก ด้วยความสามารถในการตอบกลับได้อย่างชาญฉลาดต่อคำสั่งต่างๆ ของมนุษย์ ตั้งแต่การเขียนเรียงความเชิงวิชาการไปจนถึงการสรุปเอกสารที่ยาวเป็นหางว่าวได้ในพารากราฟเดียว

แม้ว่าการกำเนิดของ ChatGPT จะสร้างแรงกระเพื่อมในโลกเทคโนโลยีอย่างมหาศาล แต่ OpenAI ก็ยังไม่หยุดพัฒนาอยู่แค่นั้น ล่าสุดพวกเขากำลังพัฒนา Dall-E ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสร้างภาพจากข้อความ และมีรายงานด้วยว่า OpenAI กำลังเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงการระดมทุนมูลค่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราวๆ 2.8 ล้านล้านบาท)

อัลท์แมนในวัย 38 ปี มีบทบาทและความหมายต่อ OpenAI พอๆ กับที่ ChatGPT ประสบความสำเร็จ เนื่องจากเขาสามารถดึงดูดผู้ใช้งานได้ถึง 100 ล้านคนภายใน 2 เดือน หลังจากการเปิดตัวในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2022
เหตุผลที่อัลท์แมน ‘ถูกไล่ออก’
OpenAI ก่อตั้งขึ้นในฐานะองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ขณะที่คณะกรรมการการดูแลบริษัทเชิงพาณิชย์ซึ่งมีสมาชิกรวม 6 คน และมีอัลท์แมนเป็นซีอีโอได้ออกมาประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ‘คณะกรรมการได้ไล่อัลท์แมนออกแล้ว เนื่องจากเขาไม่สื่อสารกับคณะกรรมการฯ อย่างตรงไปตรงมาและสม่ำเสมอ และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของบอร์ดบริหาร’
และหลังจากที่ประกาศฉบับนี้ถูกเผยแพร่ออกมา ‘เกร็ก บล็อกแมน’ ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI อีกรายก็ประกาศลาออกจากบริษัทด้วยเช่นเดียวกัน ขณะที่เหล่าคณะกรรมการฯ ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาการสื่อสารแต่อย่างใด
เก้าอี้ซีอีโอที่ถูกทิ้งไว้ของ OpenAI ได้ ‘เอ็มเม็ทท์ เชียร์’ ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Twitch ก้าวขึ้นมาเป็นซีอีโอชั่วคราวแทน พร้อมกับการแก้ข่าวว่า ‘การไล่ออกนี้ ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งเรื่องความปลอดภัย’ แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีต่างลงความเห็นและแสดงความกังวลว่า บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ เช่น OpenAI กำลังพัฒนาระบบ AI รวดเร็วเกินไป และเทคโนโลยีดังกล่าวนี้อาจก่อนให้เกิด ‘ภัยคุกคาม’ ในท้ายที่สุด
เรื่องราวและดราม่าที่ก่อตัวขึ้นหลังจากการไล่ออก
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเต็มไปด้วยดราม่าของชาวเทคฯ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งดั้งเดิมของ OpenAI เขียนข้อความผ่านบนเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์เดิม) ว่า ‘เขากังวลอย่างมาก’ ขณะที่กลุ่มทุนใหญ่อันดับ 1 และ 2 อย่าง Microsoft และ Thrive Capital ได้ออกมากดดัน OpenAI ให้คืนตำแหน่งให้แก่อัลท์แมน
หลังจากที่สถานการณ์ของบริษัทเกิดความระส่ำระส่าย พนักงานของ OpenAI ทั้ง 700 คน ต่างตกตะลึงกับข่าวที่ซีอีโอของพวกเขาถูกไล่ออก ในจดหมายเปิดผนึกถึงคณะกรรมการบริหารเมื่อวันจันทร์ (20 พ.ย.) พนักงานมากกว่า 600 คน ขู่ว่าจะ ‘ลาออก’ และหันไปร่วมงานกับ Microsoft ตามอัลท์แมน เว้นแต่ว่าคณะกรรมการทั้งหมดจะลาออกและคืนสถานะให้กับอัลท์แมน และบล็อกแมน ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ลงนามในจดหมายคือ อิลยา ซัตสเคเวอร์ หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ OpenAI และสมาชิกของคณะกรรมการชุดดังกล่าว
ปัจจุบันมีผู้ลงนามในจดหมายแล้วกว่า 650 คน จากพนักงานทั้งหมด 770 คน
ซัตสเคเวอร์ โพสต์ข้อความบนเอ็กซ์เช่นเดียวกันว่า ‘ผมเสียใจอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำของคณะกรรมการ ผมไม่เคยตั้งใจที่จะทำร้าย OpenAI ผมรักทุกสิ่งที่เราสร้างมาด้วยกัน และผมจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อให้บริษัทกลับมารวมกันอีกครั้ง’

ทว่าการเจรจานี้ดูจะไม่เป็นผล เพราะบอร์ดบริหารเองก็ยืนยันว่าจะไม่ลาออก จนกระทั่งล่าสุด ‘สัตยา นาเดลลา’ ซีอีโอของ Microsoft ได้ดึงตัวอัลท์แมน และบล็อกแมน พร้อมทั้งทีมงานจาก OpenAI มาร่วมทีมวิจัย AI ของ Microsoft เป็นที่เรียบร้อย
“เรารู้สึกตื่นเต้นมากๆ ที่จะแจ้งข่าวแก่ทุกคนว่า แซม อัลท์แมน และเกร็ก บล็อกแมน พร้อมกับทีมนักวิจัยของเขา จะเข้าร่วมกับ Microsoft เพื่อเป็นผู้นำทีมวิจัย AI ขั้นสูงทีมใหม่ เราหวังว่าทาง Microsoft จะเตรียมทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จของพวกเขาได้อย่างรวดเร็วและเพรียบพร้อม” นาเดลลาเขียนลงบนเอ็กซ์
‘ความเป็นไปได้’ ที่ Microsoft จะซื้อ OpenAI
แน่นอนว่าเรื่อง ‘เงิน’ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ Microsoft แม้ว่า OpenAI จะตั้งราคาไว้ที่ 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐก็ตาม ทว่ามีการคาดการณ์ว่าหน่วยงานด้านการแข่งขันในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป จะพิจารณาการควบรวมกิจการในตลาด AI ที่เพิ่งเกิดใหม่อย่างใกล้ชิด
ก่อนหน้านี้ Microsoft เพิ่งจะซื้อบริษัทวิดีโอเกมที่อยู่เบื้องหลังเกมดังอย่าง Call of Duty, Activision Blizzard และถูกโต้แย้งจากหน่วยงานที่กำกับดูแล ซึ่งหากเป็น OpenAI ที่ Microsoft เป็นเจ้าของหุ้นกว่า 49% แล้วละก็ Microsoft จะต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่รุนแรงยิ่งกว่านั้นอย่างแน่นอน

การพัฒนา AI จะชะลอตัวลงหรือไม่?
หลังจากที่ Microsoft ส่งสัญญาณว่าพร้อมจะเป็น ‘บ้าน’ ให้กับผู้ที่มีความสามารถแต่ไม่เป็นที่พอใจของ OpenAI ก็มีรายงานว่า นักวิจัยอาวุโส 3 คนได้ลาออกจากการเป็นนักพัฒนา ChatGPT และดูเหมือนว่างานพัฒนาเกี่ยวกับ AI ขั้นสูงจะดำเนินต่อไปภายใต้ Microsoft โดยตรง
อัลท์แมนเคยให้สัมภาษณ์ในเดือนนี้ว่า ‘วิสัยทัศน์คือการสร้างปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) หาวิธีที่ปลอดภัย และคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ’
แต่แม้ว่า OpenAI จะยังคงเป็นเจ้าของโมเดล ChatGPT อันทรงพลัง แต่ ‘xAI’ โมเดลล่าสุดโดยมัสก์ ก็ได้แสดงให้เห็นว่าเราสามารถสร้างโมเดลใหม่ที่ทรงพลังนั้นได้รวดเร็วเพียงใด โดยบริษัทของมัสก์บอกว่าใช้เวลาในการพัฒนาเพียง 4 เดือนเท่านั้น สิ่งนี้จึงคลายคำถามที่ว่าการพัฒนา AI จะชะลอตัวลงหรือไม่

เรื่องราวนี้มันจะไปจบที่ตรงไหน?
OpenAI กำลังดำเนินและพัฒนาต่อไปโดยไร้ซึ่งทั้งความกลัว ซึ่งนั่นก็เข้ากับแนวคิดของพวกเขาที่ว่า สักวันหนึ่งจะมีเครื่องมือ AI ที่สามารถทำงานได้หลายอย่างเช่นเดียว หรือดีกว่าที่มนุษย์ (อย่างพวกเรา) สามารถทำได้ในปัจจุบัน
ทว่า Microsoft ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่เบอร์ 1 ของ OpenAI ก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้อัลท์แมนได้นำสมอง และเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ที่อื่น ขณะที่พนักงานของ OpenAI หลายคนก็ได้แชร์ข้อความในลักษณะเดียวกันบนเอ็กซ์ด้วยว่า ‘OpenAI ไม่มีอะไรเลยถ้าไม่มีบุคคลเหล่านี้’
สิ่งนี้ดูเป็นคำเตือนที่สะท้อนถึงเชียร์ ซีอีโอชั่วคราวของ OpenAI ว่า เขาอาจจะต้อง ‘จ้างงาน’ เพิ่มเติม ทว่าสถานการณ์หน้าสำนักงานใหญ่ตอนนี้ก็ยังคงเงียบกริบ
หรือนี่จะเป็นเพียงเครื่องเตือนใจว่า ‘นิยายเกี่ยวกับเทคโนโลยี’ เรื่องนี้ที่กำลังเปลี่ยนแปลงโลกแก่นแท้ของมันแล้วคือ ‘ดราม่าของมนุษย์’